วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

หมากสีดา


สรรพคุณและประโยชน์ของฝรั่ง 33 ข้อ ! 


ฝรั่ง ชื่อสามัญ Guava ฝรั่ง ชื่อวิทยาศาสตร์ Psidium guajava Linn. จัดเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลางและในหมู่เกาะอินดีสต์ตะวันตก และคาดว่ามีการนำเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยสายพันธุ์ในบ้านเราที่นิยมนำมารับประทานสดๆ ก็ได้แก่ฝรั่งกิมจู ฝรั่งเวียดนาม ฝรั่งแป้นสีทอง ฝรั่งไร้เมล็ด ฝรั่งกลมสาลี่ เป็นต้น

ฝรั่งเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด โดยจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุกชนิด ในฝรั่งน้ำหนัก 165 กรัม จะให้วิตามินสูงถึง 377 มิลลิกรัม ! มีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 5 เท่า !

คำแนะนำ : การรับประทานฝรั่งไม่ควรจะปอกเปลือกทั้งนี้เพื่อคงคุณค่าของสารอาหาร และไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ไม่ควนรับประทานร่วมกับพริกเกลือน้ำตาลหรืออื่นๆ เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังทำให้เราอ้วนขึ้นอีกด้วย

คุณค่าทางโภชนาการของฝรั่งต่อ 165 กรัม

• พลังงาน 112 กิโลแคลอรีสรรพคุณของฝรั่ง
• เส้นใยอาหาร 8.9 กรัม 36%
• โปรตีน 4.2 กรัม 8% • ไขมัน 1.6 กรัม 2%
• คาร์โบไฮเดรต 23.6 กรัม 8%
• วิตามินเอ 1030 IU 21%
• วิตามินซี 377 มิลลิกรัม 628%
• วิตามินบี1 0.1 มิลลิกรัม 7%
• วิตามินบี2 0.1 มิลลิกรัม 4%
• วิตามินบี3 1.8 มิลลิกรัม 9%
• กรดโฟลิก 81 ไมโครกรัม 20%
• ธาตุแคลเซียม 30 มิลลิกรัม 3%
• ธาตุฟอสฟอรัส 66 มิลลิกรัม 7%
• ธาตุเหล็ก 0.4 มิลลิกรัม 2%
• ธาตุโพแทสเซียม 688 มิลลิกรัม 20%
• ธาตุทองแดง 0.4 มิลลิกรัม 19%

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่

ประโยชน์ของฝรั่ง

1. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมากซึ่งช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอยต่างๆได้ดี
2. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
3. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ปกป้องผิวหนังจากอนุมูลอิสระต่างๆ
4. เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก
5. ช่วยลดไขมันในเลือด
6. สรรพคุณของฝรั่งช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง
7. ใช้รักษาโรคอหิวาตกโรค
8. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
9. ช่วยรักษาโรคเบาหวาน
10. ช่วยป้องกันอาการผิดปกติของหัวใจได้
11. ใบฝรั่งใช้ในการดับกลิ่นปาก ด้วยการนำใบสด 3-5 ใบมาเคี้ยวแล้วคายกากทิ้ง
12. ผลอ่อนช่วยบำรุงเหงือกและฝัน
13. ใบฝรั่งช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน เหงือกบวม
14. ประโยชน์ของฝรั่งช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟันได้
15. รากใช้แก้อาการเลือดกำเดาไหล
16. น้ำต้มผลฝรั่งตากแห้ง ช่วยรักษาอาการเสียงแห้ง แก้คออักเสบ
17. น้ำต้มใบฝรั่งสดช่วยรักษาอาการท้องเสีย ป้องกันโรคลำไส้อักเสบ
18. ใบช่วยรักษาอาการท้องเดิน ท้องร่วง
19. ชาที่ทำจากใบอ่อนใช้สำหรับรักษาโรคบิด
20. ผลสุกใช้ทานเป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูก
21. ช่วยล้างพิษโดยรวมในร่างกาย
22. ใบช่วยแก้อาการปวดเนื่องจากเล็บขบ
23. ใช้ทาแก้ผื่นคัน แผลพุพองได้
24. ใบใช้แก้แพ้ยุง
25. ใบฝรั่งใช้รักษาบาดแผล
26. ใบใช้เป็นยาล้างแผล ดูดหนอง ถอนพิษบาดแผล แก้พิษเรื้อรัง น้ำกัดเท้า
27. รากใช้แก้น้ำเหลืองสี เป็นฝี แผลพุพอง
28. ใช้ในการห้ามเลือด ด้วยการใช้ใบมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีเลือดออก (ควรล้างใบให้สะอาดก่อน)
29. ช่วยในการดับกลิ่นสาบจากแมลงและซากหนูที่ตาย ด้วยการใช้ฝรั่งสุก 2-3 ลูกวางทิ้งไว้ในรัศมีของกลิ่น กลิ่นดังกล่าวก็จะค่อยๆหายไป
30. การรับประทานฝรั่งจะช่วยขจัดคราบอาหารบนตัวฟันได้
31. เปลือกของต้นฝรั่งนำมาใช้ทำสีย้อมผ้า
32. นิยมนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ฝรั่งดอง ฝรั่งแช่บ๊วย พายฝรั่ง และขนมอีกหลากหลายชนิด
33. นำมาใช้ทำเป็นยาแคปซูลแก้ท้องเสียจากใบฝรั่ง ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งบรรจุแคปซูลละ 250 มิลลิกรัม

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ แหล่งอ้างอิง : http://www.greenerald.com/ฝรั่ง/

วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2557

มะเขือเทศมีประโยชน์


กล้วยน้ำหว้ายาอายุวัฒนะ

มีเคล็ดไม่ลับมาฝากค่ะ
สำหรับพี่ๆน้อง สุขภาพสำคัญยิ่ง ใครมีสวนกล้วยน้ำหว้า หรือไม่มีก็ซื้อหามาทำได้ค่ะ ลองดูนะ

ตำรายาอายุวัฒนะ


เอากล้วยน้ำว้าชนิดงอมจัดๆ
คือ เปลือกกล้วยเริ่มมีจุดดำบ้างแล้ว มาปอกเปลือกออกแล้วหั่นเป็นชิ้นบางๆ ดุจหั่นแตงกวา
ปริมาณ 10 ผล ต่อน้ำผึ้ง 1 ขวดกลม

(750 ซีซี)จะดองครั้งละกี่ขวดก็ได้ ตามส่วนที่ได้แจ้งมาสวนน้ำผึ้งนั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นน้ำผึ้งแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ด้วยคงหายาก (ซื้อที่เค้าขายตามซูเปอร์มาร์เก็ต ก็น่าจะใช้ได้ – adul)

นำส่วนผสมมาใส่ขวดโหลดองเอาไว้ อย่าใส่ให้เต็มโหล ประเดี๋ยวจะฟูและล้นมานอกโหล
ต้องดองให้ครบ 3 เดือน จึงจะใช้ได้
ระหว่าง 3 สัปดาห์แรก กล้วยจะลอยอยู่ข้างบนและจะมีรา จงใช้ไม้ตะเกียบคนให้กล้วยข้างบนจมลงไปอยู่ด้านล่าง
ต่อไปก็จะมีราขึ้นอีก หมั่นคนจนไม่มีราเกิดขึ้นอีก
เมื่อครบ 3 เดือนแล้ว จงเอาผ้าบางมากรองโดยไม่ต้องคั้น
น้ำจะใส มีรสเปรี้ยวนิดๆ
เอากากกล้วยทิ้งไป กินแต่เฉพาะส่วนที่เป็นน้ำ

กินคืนละ 1 ถ้วยชาจีน หรือประมาณ 4 ช้อนคาว กินทุกคืนก่อนนอน
ถ้ารับประทานมากเกินไปจะร้อนจนทนไม่ไหว

เมื่อกินไปได้ 15 วัน ท่านจะรู้สึกตัวทันทีว่า ร่างกายอบอุ่นและกระชุ่มกระชวยผิดธรรมดา
เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ “รีดเดอร์ไดเจสต์” ของต่างประเทศ
เขาก็มีอยู่บทหนึ่งที่กล่าวว่า เมื่อเชื้อเห็ดราของผลไม้ผสมกับน้ำผึ้งแล้ว จะทำให้เกิดปฏิกิริยา คือสามารถสร้างฮอร์โมนในร่างกายของคนเราได้ คือต้องการเชื้อเห็ดราของกล้วยนั่นเอง มาตรงกับยาอายุวัฒนะของไทยเรา เมื่อท่านลองแล้วท่านจะเห็นผลเอง
ยาขนานนี้ไม่แต่เป็นยาอายุวัฒนะเพียงอย่างเดียว ยังเป็นยาเตะปี๊บพังด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557

กล้วยน้ำว้า

     กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่ใกล้ชิดคนไทยที่สุด เด็กไทยสมัยก่อนโตมากับกล้วยน้ำว้ากันทั้งนั้น นอกจาก ข้าวสุกบดแล้ว ก็มีกล้วยน้ำว้าเป็นเหมือนอาหารเสริมประจำที่ไม่ต้องซื้อหาเพราะทุกครัวเรือนมีกล้วยปลูกไว้สำหรับเป็นผลไม้ เป็นอาหารและสารพัดขนมกินกันได้ตลอดทั้งปี

การใช้ทำยา/สรรพคุณ/ประโยชน์

 กล้วยดิบ


มีสารฝาดสมานชื่อแทนนิน ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ไม่ให้เชื้อโรคและของรสเผ็ดจัด เช่น พริก เข้าไปทำลายผนังกระเพาะลำไส้ ช่วยแก้ท้องเสีย

วิธีการกินกล้วยเป็นยาก็ไม่ใช่เรื่องกล้วยๆเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อกินเป็นยาแก้โรคกระเพาะ ควรนำกล้วยดิบมาฝานเป็นแว่นบางๆ แล้วอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ห้ามใช้ความร้อนสูงกว่านี้เด็ดขาด เพราะสารในกล้วยมีฤทธิ์รักษาโรคกระเพาะนั้นจะสูญเสียไปหรือหมดฤทธิ์ไปเลยก็ได้ ถ้าโดนความร้อนสูงมากเกินไป กล้วยดิบที่ผ่านการอบอุณหภูมิต่ำแล้ว ให้นำมาบดเป็นผง กินครั้งละ 1 ช้อนชา จะผสมกับน้ำผึ้งหรือไม่ก็ได้ กิน 3 ครั้งก่อนอาหาร กล้วยดิบๆมีฤทธิ์ทั้งป้องกันและรักษาโรคกระเพาะ ส่วนยาแผนปัจจุบันทุกขนานที่ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารนั้นมีฤทธิ์เพียงป้องกันแต่ไม่ช่วยรักษา กล้วยจึงเป็นยารักษาโรคกระเพาะที่มีราคาถูกที่สุด และหาง่ายที่สุด

 กล้วยที่เพิ่งเริ่มสุก(กล้วยห่าม) 


เปลือกยังสีเขียวอยู่ประปราย เป็นทั้งยาและอาหารที่ดีมากสำหรับคนท้องเสีย เพราะนอกจากจะช่วยแก้ท้องเสียแล้วยังช่วยหล่อลื่นลำไส้ ช่วยเพิ่มกากเวลาถ่าย กล้วยกึ่งดิบกึ่งสุกยังมีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก ดังนั้นเวลาใช้กล้วย แก้ท้องเสีย ก็เท่ากับให้ธาตุโพแทสเซียมไปในตัวด้วย ตามธรรมดาคนไข้มักสูญเสียธาตุโพแทสเซียมในเวลาท้องร่วง การกล้วยห่ามจึงเป็นการชดเชยธาตุโพแทสเซียมที่เสียไป เพราะถ้าร่างกายสูญเสียธาตุโพแทสเซียมไปมากๆ ขณะท้องร่วง จะทำให้การเต้นของหัวใจผิดปกติในคนชราอาจทำให้หัวใจวายตายได้ ยิ่งไปกว่านั้นกล้วยที่เริ่มสุกจะมีสารเซโรโทนินอยู่มาก ช่วยออกฤทธิ์ กระตุ้นให้ผนังกระเพาะอาหารสร้างเยื่อเมือกมากขึ้น ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร แต่ไม่ช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร


 กล้วยสุก


มีสรรพคุณ ตรงกันข้ามกับกล้วยดิบ คือกล้วยสุกกลับเป็นยาระบายแก้ท้องผูก เพราะมีสาร เพ็กติน อยู่มาก ช่วยเพิ่มกากในลำไส้ กล้วยที่สุกงอมมากๆจะมีฤทธิ์ระบายสูง เพราะมีสารเพ็กติน มากขึ้นนั่นเอง ฤทธิ์ระบายของกล้วยน้ำว้าสุกไม่รุนแรงมากต้องกินเป็นประจำวันละ 5-6 ลูก จึงจะเห็นผล อุจจาระที่ออกมาเป็นสีเหลือง ไม่มีกลิ่นเหม็น การกินกล้วยสุกก็ต้องเคี้ยวให้ละเอียด นานๆ เพราะกล้วยเป็นผลไม้ที่มีแป้งอยู่ถึง 20 -25 % ของเนื้อกล้วย จึงสามารถนำมาเป็นอาหารเสริมให้เด็กเล็กได้ ตามปกติ กระเพาะมีเอนไซม์ย่อยแป้งน้อย การเคี้ยวกล้วยให้แหลกละเอียดจะช่วยแป้งได้มากก่อนกลืนลงกระเพาะ หากกินกล้วยโดยเคี้ยวหยาบๆ จะทำให้ท้องอืด จุกแน่น โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ควรเริ่มให้กินกล้วยสุกเมื่อเด็กเริ่มกินข้าวบดได้ อายุราว 3 เดือน โดยขูดเนื้อกล้วยสุก ( ไม่เอาไส้กล้วยเพราะจะทำให้เด็กท้องผูก ) ให้กินคราวละน้อยๆ ไม่ควรเกินครึ่งช้อนชา วันละครั้ง เพราะเด็กยังมีน้ำย่อยแป้งไม่พออาจเกิดอาการท้องอืดได้ เด็กอายุครบขวบกินกล้วยครั้งละ 1 ลูก วันละครั้งก็พอ



กล้วยสุกงอม


กล้วยที่สุกเต็มที่จะสร้างสารที่เรียกว่า TNF (Tumor Necrosis Factor) ซึ่งมีความสามารถที่จะไปต่อสู้กับเซลล์ที่ผิดปกติ ยิ่งกล้วยสุกมากเท่าไหร่ ก็จะเกิดจุดสีดำที่เปลือกมากขึ้น ยิ่งมีจุดดำนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เกิดภูมิต้านทานมากขึ้น ในการทดลองกับสัตว์โดยศาสตราจารย์ญี่ปุ่นผู้หนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ในการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้จากผลไม้ต่างๆ โดยใช้ กล้วย องุ่น แอปเปิล แตงโม สับปะรด ลูกแพร์ ลูกพลับ ปรากฏว่ากล้วยให้ผลดีที่สุดมันช่วยทำให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย และสร้างสารต้านมะเร็ง TNF

คำแนะนำคือให้กินกล้วยวันละ 1-2 ใบเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ และอื่นๆ กล้วยทีมีผิวเหลืองและมีจุดดำๆ หลายๆ แห่งจะมีคุณสมบัติในการเพิ่มเม็ดเลือดขาวได้มากกว่ากล้วยที่มีผิวเขียวถึง 8 เท่า

นอกจากนี้ เด็กที่มีผิวหนังเป็นตุ่มคันจากยุงกัด มดกัด หรือเป็นผื่นคันเนื่องจากลมพิษ สามารถใช้เปลือกกล้วยน้ำว้าสุกด้านใน ทาถูบริเวณนั้นสักครึ่งนาที รับรองว่าอาการคันจะหายเป็นปลิดทิ้ง

นี่เป็นเคล็ดลับภูมิปัญญาไทยที่ใช้กล้วยน้ำว้าเป็นยาสามัญประจำครัวเรือน กล้วยน้ำว้ามีประโยชน์มากมายมหาศาล นอกจากกล้วยที่เป็นผลไม้ อาหาร และสารพัดขนม ใบตองกล้วยยังใช้ทำกระทงใส่ข้าว ของคาว ของหวานแทนถ้วยชาม กาบกล้วยใช้ทำเชือก ซึ่งไม่เคยก่อปัญหาภาวะต่อสิ่งแวดล้อม คนไทยในยุคน้ำมันแพง น่าจะหันกลับมาสร้างค่านิยมปอกกล้วยเข้าปาก เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีในราคาประหยัด สุดคุ้มเหมือนในยุคปู่ย่า ตายายของเรา

ที่มา : วรางคณา เตียงพิทักษ์/bhuttan-whatup.blogspot.com/by สาระแห่งสุขภาพ