มะนาว+โซดา ฆ่าเซลมะเร็งได้
จะ + น้ำผึ้ง(แท้) ก็ยิ่งอร่อยได้อีก
เห็นว่าหลายๆคน หลายๆครอบครัวที่ ต้องเสียชีวิตเนื่องจากมะเร็งในแต่ละปีกันเยอะมาก และโอกาสที่จะรักษาหายก็ยาก พอดีจารย์มีโอกาสได้ เจอข้อมูลนี้มา ลองพิจารณาดูนะครับ หรือรู้แล้วจะบอกต่อเอาบุญเป็นธรรมทาน แสดงออกถึงความรักความห่วงใยและเป็นกำลังใจให้กับท่านที่เป็นมะเร็งทุกท่านด้วย ก็จะเป็นบุญเป็นกุศลเป็นความดีอีกทางหนึ่งได้ครับ ด้วยรักและห่วงใย : จารย์ตรัย
.......................................
มะนาว+โซดา ?
มะนาว เลือกลูกเขียวๆ ใช้จำนวน 2ลูก + โซดา 1ขวด
สรรพคุณ สามารถ ฆ่าเซลมะเร็งได้ผลกว่าการ คลีโมฯ 10,000เท่า อ่านว่า หนึ่งหมื่นเท่า .....
วิธีกิน กินเช้า เย็น หรือ เช้า กลางวัน และ เย็น ก็ได้
การกินมะนาว+โซดา
ไม่มีผลเสียอะไรต่อร่างกายทั้งสิ้น การคลีโมฯ ยังมีผลทำให้่เซลดีๆของร่างกายต้องตายไปด้วย แต่การใช้ น้ำมะนาว+โซดา จะฆ่าเซลมะเร็งพวกนี้ได้ 100%
แล้วทำไมถึงไม่มีการเผยแพร่ ออกมา
ตอบแบบง่ายๆ ถ้าแพร่ออกมา อย่างเป็นทางการ บริษัทยาทั่วโลกก็เจ๊งชัยนี่คือความเลวทรามของ มนุษย์ที่เอาเปรียบมนุษย์ด้วยกัน วิธีนี้ถูกค้นพบนานแล้ว แต่ถูกปกปิดเอาไว้ ไม่ให้ผลรายงานนี้ออกมาสู่สาธารณะ
ทำไมต้องโซดา?
ใช้ผสมกับน้ำก็ได้ แต่จะได้ผลช้า แต่ถ้าใช้กับ โซดา มันจะเหมือนๆกับเครื่องยนต์ เวลาติดเทอร์โบ จะได้ผลเร็ว และรุนแรงกว่ามากวิธีรักษามะเร็ง แบบได้ผล
แถมต้นทุนประหยัดแบบสุดๆแบบนี้ ใครมีคนรู้จักเป็นมะเร็งอยู่
ให้เอาไปบอกบุญกันได้
........................................................
มะนาวเป็นผลิตผลที่มหัศจรรย์มากที่สามารถฆ่าเซลมะเร็งได้มากกว่า 1 หมื่นเท่า มากกว่าเคโมเทอราฟี .. ทำไมเราไม่รู้เรื่องนี้เลย เพราะว่าปฏิบัติการห้องแล็บส่วนใหญ่นั้น ไม่ยอมพูดเรื่องนี้เลย และก้อจะทำให้สูญเสียผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ไป เราท่านทั้งหลายสามารถช่วยเพื่อนท่านได้ ในการบอกให้เขาหรือเธอเหล่านั้น ว่าน้ำมะนาวนั้นมีประโยชน์ยิ่งในการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ มีรสชาติที่ดี และไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการฉีดคีโมฯคนมากหลายอาจจะตาย ในขณะที่ความลับที่ป้องกันมะเร็งนี้ได้ถูกเก็บงำเอาไว้ เพื่อไม่ให้ต้องการทำลายผลประโยชน์ นับล้านๆ กับบริษัทยาใหญ่ ๆ ท่านทราบไหมว่าต้นมะนาวนี้ (มะนาวแป้น และ หรือมะนาวทุกชนิด) ท่านจะกินมะนาวเหล่านี้ในวิธีต่างๆก็ได้ เช่นกินเปลือก กินน้ำ หรือคั้น หรือเตรียมเป็นเครื่องดื่มใดๆแล้วแต่ที่เราชอบ และมันทำได้หลายอย่าง โดยเฉพาะถ้าดื่มน้ำมะนาวผสมกับโซดาจะทำให้ผลประโยชน์ของน้ำมะนาวดังกล่าวสูบฉีดเข้าร่างกายได้ดียิ่งขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือมันขจัดซีดหรือก้อนเนื้อร้าย .. ผลไม้ชนิดนี้ พิสูจน์แล้วว่าสามารถต่อต้านมะเร็งได้ อย่างดีเยี่ยม มีคนกล่าวไว้ว่ามันมีผลประโยชน์ สำหรับมะเร็งหลายชนิด อาจกล่าวได้เลยว่ามันสามารถป้องกันการอักเสบของเชื้อแบตทีเรีย และเชื้อราต่างๆ สามารถที่จะต่อต้านพาราไซส์ที่อยู่ข้างใน มันทำให้เลือดที่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไปเข้าสู่ภาวะปกติ มันทำให้คลายเครียด ต่อต้านโรคประสาท โรคฟุ้งซ่านได้ด้วย ข่าวสารเรื่องนี้หน้าสนใจมาก มันมาจากบริษัทยาใหญ่หลายบริษัทในโลก ซึ่งมากกว่า 20 บริษัทได้ทำการทดลองเรื่องนี้ ผลการทดลองเปิดเผยออกมาได้ว่า มะนาวนี้สามารถทำลายเนื้อร้ายที่รุนแรง (มะเร็ง)ได้ถึง 12 ชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งลำไส้เล็ก มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน ส่วนผสมของไซทัสหรือมะนาว มีความสามารถในการทำลายมะเร็งได้มากกว่ายาที่ใช้การทำคีโม ทำให้การเจริญเติบโตของเซลมะเร็งนั้นหยุดอยู่กับที่ และนอกจากนี้มันยังเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจมาก การรักษาด้วยมะนาวนี้ สามารถทำลายต่อต้านมะเร็งได้อย่างรุนแรง แต่ไม่มีผลข้างเคียง
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://unyamanee.it4social.net/
วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556
วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556
เม็ดบัวป้องกันมะเร็งตับ
กินเม็ดบัวป้องกันมะเร็งตับ
แหล่งโปรตีนเช่นเดียวกับการกินถั่วเหลือง
ที่ธัญพืชพื้นบ้านชนิดนี้สร้างความฮือฮาให้ชาวโลกคือ
มีการวิจัยพบว่าเม็ดบัวมีสารแอนติออกซิแดนต์ในปริมาณสูง
ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติหลายอย่าง เช่น ชะลอการเสื่อมของอวัยวะและผิวพรรณ
ป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ
เม็ดบัวมีประโยชน์ทางยาสูงมาก แพทย์แผนไทย แนะนำว่า ช่วยบำรุงกำลัง แก้โรคข้อต่างๆ แก้ร้อนใน กระหายน้ำส่วนแพทย์แผนจีนบอกว่า ช่วยบำรุงไต ม้าม หัวใจ และตับซึ่งตรงกับงานวิจัยในต่างประเทศที่ระบุว่า
“สารแอนติออกซิแดนต์จะช่วยปกป้องและบำรุงตับ โดยเฉพาะตับที่ต้องขับสารแอฟลาท็อกซิน(Aflatoxin) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งตับออกจากร่างกาย การกินเม็ดบัวจึงสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งได้”
เม็ดบัวไทย-จีน ความเหมือนที่แตกต่าง
การเลือกกิน เม็ดบัวส่วนใหญ่ที่เราเห็นทั่วไป จะเป็นสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนซึ่งจะมีเมล็ดขนาดใหญ่ ผ่านการกะเทาะเปลือก ดึงดีบัว(ต้นอ่อนที่ฝังอยู่กลางเมล็ดมีสีเขียวเข้ม)ออก และอบแห้งแล้ว
ส่วนเม็ดบัวไทยนั้นไม่ค่อยพบวางจำหน่ายในท้องตลาด เนื่องจากมีเมล็ดเล็ก จึงไม่เป็นที่นิยม แต่จากผลการวิจัยของ อาจารย์ปริญดา ที่ศึกษาเปรียบเทียบปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์ในเม็ดบัวไทยและจีนพบว่า เม็ดบัวไทยมีปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์สูงกว่าเม็ดบัวจีน 5-6 เท่า
อาจารย์ปริญดาจึงแนะนำว่า ถ้าต้องการให้ร่างกายได้รับสารแอนติออกซิแดนต์ปริมาณสูงควรเลือกกินเม็ดบัวไทยดีกว่า โดยเฉพาะเม็ดบัวไทยสด
วิธีกินคือ ลอกเปลือกออกจากเมล็ด โดยไม่ดึงเยื่อหุ้มเมล็ดและดีบัวออก กินสดๆทั้งเมล็ด จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านมะเร็งซึ่งอยู่บริเวณเยื่อหุ้มเมล็ด และดีบัวในปริมาณสูง
ส่วนชนิดอบแห้งนั้น เรานำมาทำอาหารคาวหวานได้หลากหลาย ที่คุ้นเคยกันดี คือ เม็ดบัวเชื่อมใส่ในน้ำแข็งไส น้ำอาร์ซี เม็ดบัวต้มน้ำตาลทรายแดง ผสมในเต้าฮวย หรือเต้าทึง ข้าวอบใบบัว เป็นต้น
ส่วนเคล็ดลับการเลือกซื้อให้ได้ของสดใหม่ คุณภาพดีมีดังนี้ค่ะ
ชนิดอบแห้ง
1. ควรเลือกเมล็ดที่มีสีเหลืองนวล ถ้ามีสีเหลืองเข้ม แสดงว่าเป็นเม็ดบัวเก่าที่เก็บไว้นานแล้ว เมล็ดไม่แตกหัก และไม่มีฝุ่นละอองปนเปื้อน
2. ขั้วเมล็ดไม่ดำคล้ำ เพราะจะเป็นเมล็ดที่เก็บไว้นานแล้ว
3. ไม่มีกลิ่นสาบหรือเหม็นหื่น
ชนิดฝักสด
เลือกฝักที่มีเมล็ดขนาดใหญ่ สีเขียวอ่อน จะได้เม็ดบัวที่มีเนื้อกรอบ หวานกำลังดี คราวนี้ถ้าเจอฝักบัวสดในตลาดอย่าลืมซื้อติดไม้ติดมือมาคนละสองสามกำนะคะ
เครดิต: นิตยสารชีวจิต
ภาพ: ขอบคุณภาพจาก อินเตอร์เน็ต
*********** **************** **************
แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ
เม็ดบัวมีประโยชน์ทางยาสูงมาก แพทย์แผนไทย แนะนำว่า ช่วยบำรุงกำลัง แก้โรคข้อต่างๆ แก้ร้อนใน กระหายน้ำส่วนแพทย์แผนจีนบอกว่า ช่วยบำรุงไต ม้าม หัวใจ และตับซึ่งตรงกับงานวิจัยในต่างประเทศที่ระบุว่า
“สารแอนติออกซิแดนต์จะช่วยปกป้องและบำรุงตับ โดยเฉพาะตับที่ต้องขับสารแอฟลาท็อกซิน(Aflatoxin) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งตับออกจากร่างกาย การกินเม็ดบัวจึงสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งได้”
เม็ดบัวไทย-จีน ความเหมือนที่แตกต่าง
การเลือกกิน เม็ดบัวส่วนใหญ่ที่เราเห็นทั่วไป จะเป็นสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนซึ่งจะมีเมล็ดขนาดใหญ่ ผ่านการกะเทาะเปลือก ดึงดีบัว(ต้นอ่อนที่ฝังอยู่กลางเมล็ดมีสีเขียวเข้ม)ออก และอบแห้งแล้ว
ส่วนเม็ดบัวไทยนั้นไม่ค่อยพบวางจำหน่ายในท้องตลาด เนื่องจากมีเมล็ดเล็ก จึงไม่เป็นที่นิยม แต่จากผลการวิจัยของ อาจารย์ปริญดา ที่ศึกษาเปรียบเทียบปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์ในเม็ดบัวไทยและจีนพบว่า เม็ดบัวไทยมีปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์สูงกว่าเม็ดบัวจีน 5-6 เท่า
อาจารย์ปริญดาจึงแนะนำว่า ถ้าต้องการให้ร่างกายได้รับสารแอนติออกซิแดนต์ปริมาณสูงควรเลือกกินเม็ดบัวไทยดีกว่า โดยเฉพาะเม็ดบัวไทยสด
วิธีกินคือ ลอกเปลือกออกจากเมล็ด โดยไม่ดึงเยื่อหุ้มเมล็ดและดีบัวออก กินสดๆทั้งเมล็ด จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านมะเร็งซึ่งอยู่บริเวณเยื่อหุ้มเมล็ด และดีบัวในปริมาณสูง
ส่วนชนิดอบแห้งนั้น เรานำมาทำอาหารคาวหวานได้หลากหลาย ที่คุ้นเคยกันดี คือ เม็ดบัวเชื่อมใส่ในน้ำแข็งไส น้ำอาร์ซี เม็ดบัวต้มน้ำตาลทรายแดง ผสมในเต้าฮวย หรือเต้าทึง ข้าวอบใบบัว เป็นต้น
ส่วนเคล็ดลับการเลือกซื้อให้ได้ของสดใหม่ คุณภาพดีมีดังนี้ค่ะ
ชนิดอบแห้ง
1. ควรเลือกเมล็ดที่มีสีเหลืองนวล ถ้ามีสีเหลืองเข้ม แสดงว่าเป็นเม็ดบัวเก่าที่เก็บไว้นานแล้ว เมล็ดไม่แตกหัก และไม่มีฝุ่นละอองปนเปื้อน
2. ขั้วเมล็ดไม่ดำคล้ำ เพราะจะเป็นเมล็ดที่เก็บไว้นานแล้ว
3. ไม่มีกลิ่นสาบหรือเหม็นหื่น
ชนิดฝักสด
เลือกฝักที่มีเมล็ดขนาดใหญ่ สีเขียวอ่อน จะได้เม็ดบัวที่มีเนื้อกรอบ หวานกำลังดี คราวนี้ถ้าเจอฝักบัวสดในตลาดอย่าลืมซื้อติดไม้ติดมือมาคนละสองสามกำนะคะ
เครดิต: นิตยสารชีวจิต
ภาพ: ขอบคุณภาพจาก อินเตอร์เน็ต
*********** **************** **************
แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ
น้ำกระชาย
กระชายเหลือง มีประโยชน์มากกว่ากระชายดำ ราคาถูกกว่า แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่ากระชายดำมีประโยชน์มากกว่า
ประโยชน์โดยรวมของกระชายเหลือง
*บำรุงกระดูก(เพราะมีแคลเซียมสูง)
*บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนกลางดีขึ้น
*ปรับสมดุลของฮอร์โมน
*ปรับสมดุลของความดันโลหิต(ความดันโลหิตที่สูงจะลดลง *ความดันโลหิตที่ต่ำจะสูงขึ้น)
*แก้โรคไต ทำให้ไตทำงานดีขึ้น
*ป้องกันไทรอยด์เป็นพิษ
*บำรุงมดลูก
*แก้ปัญหาผมหงอก ผมร่วง
*อาการกระเพราะปัสสาวะเกร็ง(กรณีนี้อาจใช้เม็ดบัวต้มกิน)
*ควบคุมไม่ให้ต่อมลูกหมากโต
*แก้ปัญหาใส้เลื่อน
สรรพคุณที่เด่นๆก็คือ ช่วยปรับสมดุลย์ฮอร์โมนให้ปกติ จึงเหมาะกับคนวัยทองอย่างยิ่งที่มีความผิดปกติเรื่องฮอร์โมน ...ถ้าลองดื่มครั้งแรก ๆ อาจรู้สึกรสชาติแปลกๆ ร้อนวูบ เหงื่อออกตามตัว แต่เมื่อดื่มครั้งสองครั้งร่างกายก็ปรับได้จะชินไปเองคะ.....
สูตรง่ายๆได้ประโยชน์เหมือนกัน เพื่อปรับสมดุล ใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อน กับสมุนไพรฤทธิ์เย็นรวมกัน เป็นดีแน่แท้
*สูตร ๑. สูตรนี้เน้น - บำรุงไต - บำรุงกำหนัด ( ทุกย่างสด และใช้ตำในครก เพื่อคุณภาพทุกอย่าง ยังคงอยู่ )
*กระชายสด 2 ขีด *โหรระพา 5-10 บาท *มะนาว * น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
*สูตร ๒. ปรับสมดุลในร่างกาย แก้คลื่นไส้อาเจียน - กระชาย 2 ขีด - มะนาว 1 ลูก - น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ -สับปะรด 3 ชิ้น - ใบบัวบก 1 กำ ( 5-10 บาท )
*สูตร ๓.น้ำกระชายต้ม
ส่วนผสม
เหง้ากระชาย 1 ถ้วย
น้ำสะอาด 2 ถ้วย - น้ำตาลทรายแดงตามต้องการ ( ไม่ต้องหวานมาก )
วิธีทำ
1. ล้างเหง้ากระชายด้วยน้ำเปล่าหลายครั้งให้สะอาด ...บุบให้แหลก ใส่น้ำลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือด เอากระชายใส่ลงไปต้มจนเดือดมีกลิ่นหอม หรี่ไฟลง เคียวต่อไปอีก 10 นาที สารที่มีคุณค่าในกระชายออกมา ...แล้วให้เติมน้ำเท่าเดิมอีก ยกลง
2. กรองด้วยผ้าขาวบางเอากากออกไป เติมน้ำตาลทรายแดงและต้มให้เดือดอีก 3 นาที แล้วยกลง จะดื่มแบบร้อนคล่องคอ ได้น้ำกระชายสีเหลืองอ่อน รสเผ็ดปร่าเล็กน้อย มีกลิ่นของกระชายและกลิ่นน้ำตาลทรายแดง หรือจะดื่มแบบเย็น กับน้ำแข็งก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ดีค่ะ
ที่มา ♥ ♥ หมอปรียาภา
ทับทิมสารพัดประโยชน์
เมื่อกล่าวถึงทับทิม
แต่ก่อนอาจดูเป็นผลไม้หายากราคาแพง
แต่ปัจจุบันหาซื้อได้ง่ายราคาไม่แพง และเมื่อพูดถึงประโยชน์ของทับทิมและสรรพคุณของทับทิมก็นับว่าเป็นสิ่งที่ คุ้มค่ามากทีเดียวที่จะลงทุนเพื่อสุขภาพของคุณๆ ซึ่งผลทับทิมจะดีอย่างไรเรามาตามติดกันเลยดีกว่า
จากตำรับการแพทย์ โบราณของเปอร์เซียระบุว่า ทับทิมมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยฟอกไตและท่อปัสสาวะ ช่วยการทำงานของหัวใจและตับ เป็นยาบำรุงกำลัง ฟอกโลหิต ช่วยในการย่อยอาหารขจัดไขมันส่วนเกิน ปรับฮอร์โมนในสตรีวัยทอง ต่อต้านการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ป้องกันโรคขี้หลงขึ้ลืมและช่วยให้ผิวพรรณดี ซึ่งการศึกษาวิจัยในระยะหลังก็ช่วยยืนยันถึงสรรพคุณทางยาและประโยชน์ของ ทับทิมไว้มากมาย ได้แก่ ในเปลือกทับทิมมีสารในกลุ่มแทนนินสูงมีสรรพคุณใช้เป็นยาแก้ท้องเดิน โรคบิด ฆ่าเชื้อแบคทีเรียหลายสิบชนิด ลดอาการอักเสบ ทั้งยังมีฤทธิ์ต่อต้าน และยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิดไม่ให้เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อลูกหมาก เป็นต้น
รู้จักกับทับทิม
ทับทิม (Pomegranate) หรือชื่อท้องถิ่น เซี๊ยะลิ้ว, พิลา, พิลาขาว, มะก่องแก้ว, มะเก๊าะ, หมากจัง เป็นไม้ผลขนาดเล็ก มีขนาดประมาณ 5-8 เมตร เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดจากทางตะวันออกของประเทศอิหร่านและทางใต้ของประเทศ อัฟกานิสถาน
การวิจัยทางการแพทย์ของสหรัฐอเมริกาพบว่า ในน้ำทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดและมีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถลดภาวะการสะสมไขมันในผนังเส้นเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและแข็งตัว ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดตามมา รวมทั้งทำให้เส้นเลือดที่หนาตัวและมีไขมันสะสมซึ่งเป็นเส้นเลือดที่ไม่ดีมี ความหนาตัวลดลงและลดไขมันที่สะสมลงอีกด้วย ช่วยบำรุงหัวใจในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดโดยเพิ่มการไหลเวียนที่ดี ขึ้นและลดภาวะหัวใจขาดเลือดในผู้ป่วยโรคหัวใจ นอกจากนี้สารจากทับทิมยังช่วยบำรุงตับมีฤทธิ์ป้องกันการเป็นพิษต่อตับและ ยับยั้งเซลล์มะเร็งอีกด้วย
นอกจากเม็ดทับทิมจะมีรสชาดอร่อยชวนลิ้มลอง แล้ว เปลือกทับทิมก็ยังสามารถรักษาโรคท้องเดินและโรคบิดได้โดย การศึกษาวิจัยพบว่า ในเปลือกทับทิมมีสารในกลุ่มแทนนินสูง 22-25% โดยประกอบด้วยสารแทนนินในกลุ่ม Gallotannin เปลือกทับทิมตากแห้งจึงใช้เป็นยาแก้ท้องเดินและโรคบิดได้ นอกจากนี้ยังพบสารแทนนินในกลุ่ม Ellagictannin ในปริมาณสูง สารในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่ดี โดยมีสรรพคุณลดอาการอักเสบ ทั้งยังมีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็งกว่า 13 ชนิด ไม่ให้เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่ามีคุณสมบัติในการทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหารและลำไส้ใหญ่ ซึ่งพบว่าการให้กรดเอลลาจิกกับสัตว์ทดลอง สารดังกล่าวจะไปเร่งการเจริญของเซลล์มะเร็งแบบอะมอพโดซีส (Amoptosis) ทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายโดยกลไกการแตกตัวของตัวมันเองได้
ส่วนใน ตำรับการแพทย์แผนไทยได้บอกถึงสรรพคุณและประโยชน์ของทับทิมว่า ใบมีรสฝาด แก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด สมานแผล ดอก มีรสฝาดหวาน ต้มดื่มแก้หูชั้นในอักเสบ บดโรยแผลที่มีเลือดออก เนื้อมีรสหวานอมเปรี้ยวเป็นยาระบายอ่อนๆ บำรุงหัวใจ เปลือกมีรสฝาด ต้มดื่มแก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด ถ่ายพยาธิ แก้ตกขาว สมานแผล ฆ่าเชื้อโรค เปลือกราก ต้มดื่มแก้ระดูขาว แก้ตกเลือด ถ่ายพยาธิ น้ำทับทิมช่วยคุณได้
แต่ปัจจุบันหาซื้อได้ง่ายราคาไม่แพง และเมื่อพูดถึงประโยชน์ของทับทิมและสรรพคุณของทับทิมก็นับว่าเป็นสิ่งที่ คุ้มค่ามากทีเดียวที่จะลงทุนเพื่อสุขภาพของคุณๆ ซึ่งผลทับทิมจะดีอย่างไรเรามาตามติดกันเลยดีกว่า
จากตำรับการแพทย์ โบราณของเปอร์เซียระบุว่า ทับทิมมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยฟอกไตและท่อปัสสาวะ ช่วยการทำงานของหัวใจและตับ เป็นยาบำรุงกำลัง ฟอกโลหิต ช่วยในการย่อยอาหารขจัดไขมันส่วนเกิน ปรับฮอร์โมนในสตรีวัยทอง ต่อต้านการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ป้องกันโรคขี้หลงขึ้ลืมและช่วยให้ผิวพรรณดี ซึ่งการศึกษาวิจัยในระยะหลังก็ช่วยยืนยันถึงสรรพคุณทางยาและประโยชน์ของ ทับทิมไว้มากมาย ได้แก่ ในเปลือกทับทิมมีสารในกลุ่มแทนนินสูงมีสรรพคุณใช้เป็นยาแก้ท้องเดิน โรคบิด ฆ่าเชื้อแบคทีเรียหลายสิบชนิด ลดอาการอักเสบ ทั้งยังมีฤทธิ์ต่อต้าน และยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิดไม่ให้เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อลูกหมาก เป็นต้น
รู้จักกับทับทิม
ทับทิม (Pomegranate) หรือชื่อท้องถิ่น เซี๊ยะลิ้ว, พิลา, พิลาขาว, มะก่องแก้ว, มะเก๊าะ, หมากจัง เป็นไม้ผลขนาดเล็ก มีขนาดประมาณ 5-8 เมตร เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดจากทางตะวันออกของประเทศอิหร่านและทางใต้ของประเทศ อัฟกานิสถาน
การวิจัยทางการแพทย์ของสหรัฐอเมริกาพบว่า ในน้ำทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดและมีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถลดภาวะการสะสมไขมันในผนังเส้นเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและแข็งตัว ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดตามมา รวมทั้งทำให้เส้นเลือดที่หนาตัวและมีไขมันสะสมซึ่งเป็นเส้นเลือดที่ไม่ดีมี ความหนาตัวลดลงและลดไขมันที่สะสมลงอีกด้วย ช่วยบำรุงหัวใจในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดโดยเพิ่มการไหลเวียนที่ดี ขึ้นและลดภาวะหัวใจขาดเลือดในผู้ป่วยโรคหัวใจ นอกจากนี้สารจากทับทิมยังช่วยบำรุงตับมีฤทธิ์ป้องกันการเป็นพิษต่อตับและ ยับยั้งเซลล์มะเร็งอีกด้วย
นอกจากเม็ดทับทิมจะมีรสชาดอร่อยชวนลิ้มลอง แล้ว เปลือกทับทิมก็ยังสามารถรักษาโรคท้องเดินและโรคบิดได้โดย การศึกษาวิจัยพบว่า ในเปลือกทับทิมมีสารในกลุ่มแทนนินสูง 22-25% โดยประกอบด้วยสารแทนนินในกลุ่ม Gallotannin เปลือกทับทิมตากแห้งจึงใช้เป็นยาแก้ท้องเดินและโรคบิดได้ นอกจากนี้ยังพบสารแทนนินในกลุ่ม Ellagictannin ในปริมาณสูง สารในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่ดี โดยมีสรรพคุณลดอาการอักเสบ ทั้งยังมีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็งกว่า 13 ชนิด ไม่ให้เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่ามีคุณสมบัติในการทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหารและลำไส้ใหญ่ ซึ่งพบว่าการให้กรดเอลลาจิกกับสัตว์ทดลอง สารดังกล่าวจะไปเร่งการเจริญของเซลล์มะเร็งแบบอะมอพโดซีส (Amoptosis) ทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายโดยกลไกการแตกตัวของตัวมันเองได้
ส่วนใน ตำรับการแพทย์แผนไทยได้บอกถึงสรรพคุณและประโยชน์ของทับทิมว่า ใบมีรสฝาด แก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด สมานแผล ดอก มีรสฝาดหวาน ต้มดื่มแก้หูชั้นในอักเสบ บดโรยแผลที่มีเลือดออก เนื้อมีรสหวานอมเปรี้ยวเป็นยาระบายอ่อนๆ บำรุงหัวใจ เปลือกมีรสฝาด ต้มดื่มแก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด ถ่ายพยาธิ แก้ตกขาว สมานแผล ฆ่าเชื้อโรค เปลือกราก ต้มดื่มแก้ระดูขาว แก้ตกเลือด ถ่ายพยาธิ น้ำทับทิมช่วยคุณได้
หลังจากรับรู้ถึงสารพัดประโยชน์จากทับทิมและอยากจะหาซื้อมาทานก็คงต้องบอกเลยว่า หายากและราคาค่อนข้างแพง เนื่องจากยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก แต่คุณก็สามารถหาน้ำทับทิมมาดื่มได้ เพราะมีคุณค่าไม่แพ้กัน โดยในน้ำทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มี ประสิทธิภาพสูง สารต้านอนุมูลอิสระจะเข้าไปช่วยกระตุ้นให้เซลล์ของร่างกาย (โดยเฉพาะเซลล์ไขมันที่เต้านม) มีความแข็งแรง เกิดภูมิคุ้มกันขึ้นภายในเซลล์ ทำให้เซลล์มีความต้านทานต่อพิษของสารก่อมะเร็ง จึงสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมได้
ในกรณีที่คนป่วยเป็นมะเร็งเต้านมแล้ว สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำทับทิมจะช่วยยับยั้งเซลล์ มะเร็งไม่ให้แพร่กระจายลุกลามมากขึ้นดังนี้
-สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำทับทิมจะไปยับยั้งเซลล์มะเร็งไม่ให้มีการแบ่งตัวเพิ่ม มากขึ้น(คือเซลล์มะเร็งมีปริมาณเท่าเดิมไม่ขยายวงกว้างขึ้น)
-สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำทับทิมจะไปดูแลเซลล์ดีๆ ที่อยู่รอบๆ เซลล์มะเร็ง ให้มีความแข็งแรงและมีภูมิต้านทาน เซลล์มะเร็งจึงลุมลามมาทำอันตรายไม่ได้หรือได้น้อย
เห็นหรือยังว่า ทับทิมนั้นมากประโยชน์เพียงใด เอาเป็นว่า มื้อถัดไป อย่าลืมมองหาเจ้าผลไม้ที่ว่านี้มารับประทานกันเพลินๆ เพราะนอกจากจะอร่อยแล้วยังทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย
ที่มา : hunsa.com
วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556
ตะขบ
มหัศจรรย์ ตะขบ ผลไม้ไทย ด้อยราคา - มากคุณค่า
วิจัยพบ "ตะขบ"มีคุณค่าเหนือกว่าผลไม้นอกหลายชนิด ผลมีใยอาหาร-แคลเซียม-โปแตสเซียมสูงดูดซับคอเลสเตอรอลลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ เส้นเลือดสมองแตก เตือนคนคุมน้ำหนักผู้ป่วยเบาหวานเลี่ยงลิ้นจี่-องุ่น น้ำตาลมาก
นพ.สมยศ ดีรัศมีอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่าจากการที่กลุ่มวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ กองโภชนาการ ดำเนินการศึกษาวิจัยเรื่อง "ปริมาณใยอาหาร น้ำตาล และแร่ธาตุในผลไม้" โดยการเก็บตัวอย่างผลไม้จำนวน30 ตัวอย่างจากท้องตลาด 5 แห่งในเขตกทม.และปริมณฑล โดยเก็บตัวอย่างละ 2 กิโลกรัมมาวิเคราะห์ใน 2ส่วน คือ 1.วิเคราะห์น้ำตาลและน้ำ 2.วิเคราะห์ใยอาหาร โปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุ จากผลการศึกษาพบว่าผลไม้ในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 76-94กรัม มีใยอาหาร 0.5-6.3 กรัม มีน้ำตาลรวม 3-18กรัม และมีพลังงาน 33-97 กิโลแคลอรี
ผลไม้ที่มีใยอาหารสูงได้แก่ ตะขบ 6.3 กรัม ฝรั่งแป้นสีทอง 3.3 กรัม ลูกหว้า 3.3 กรัม และฝรั่งกิมจู 3.1 กรัม ผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ได้แก่ ลิ้นจี่พันธุ์ค่อม 18 กรัม องุ่นดำไร้เมล็ด (ลูกใหญ่) 15 กรัม ลิ้นจี่จักรพรรดิ13 กรัม สละ 13 กรัม และองุ่นแดง(ลูกใหญ่) 13 กรัม ส่วนผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย ได้แก่เนื้อมะพร้าวอ่อน 3 กรัม ลูกหว้า 5 กรัมลูกตาลอ่อน 5 กรัม ราสพ์เบอรี่ 6 กรัมและแคนตาลูป (เขียว) 6 กรัม
"ผลไม้ส่วนใหญ่มีพลังงานน้อย เพราะมีน้ำเป็นองค์ประกอบค่อนข้างมากจากการศึกษาครั้งนี้พบตะขบและมะม่วงเขียวเสวยดิบมีพลังงานมากกว่าผลไม้อื่น คือ มี 97และ 87 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม"นพ.สมยศกล่าว
อธิบดีกรมอนามัยกล่าวว่าสำหรับปริมาณแร่ธาตุ โซเดียม โปแตสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ในผลไม้ 100 กรัม พบว่า มีโปแตสเซียม 106-773 มิลลิกรัม โซเดียม 0.7-19.8มิลลิกรัม แคลเซียม 0.3-108 มิลลิกรัมฟอสฟอรัส 0-60.7 มิลลิกรัม ผลไม้ที่มีโปแตสเซียมสูง ได้แก่ตะขบ 773 มิลลิกรัม เชอรี่นอก 486 มิลลิกรัมเนื้อมะพร้าวอ่อน 381 มิลลิกรัม และน้ำมะพร้าวอ่อน 330มิลลิกรัม ส่วนผลไม้ที่มีโซเดียมสูง คือ ลูกท้อสด มีโซเดียม 19.8มิลลิกรัม ราสพ์เบอรี่ 16.7 มิลลิกรัม ตะขบ 12.8มิลลิกรัม ผลไม้ที่มีแคลเซียมสูง คือ ตะขบ มีแคลเซียม 108 มิลลิกรัม ผลไม้ที่มีฟอสฟอรัสสูง คือ ลูกหว้า มีฟอสฟอรัส 60.7 มิลลิกรัม ตะขบ 51.7 มิลลิกรัม
จากการศึกษาครั้งนี้พบตะขบฝรั่งและ ลูกหว้า เป็นผลไม้ที่มีใยอาหารสูง ส่วนผลไม้ที่มีน้ำตาลมาก เช่น ลิ้นจี่และองุ่น อาจเป็นผลไม้ที่ควรระวังหรือต้องห้ามสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและผู้ที่เป็นโรคเบาหวานแต่แนะนำให้กินเนื้อมะพร้าวอ่อนหรือลูกตาลอ่อนทดแทนได้ เพราะมีน้ำตาลน้อยส่วนผลไม้ที่มีโซเดียมน้อยจะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจขณะที่ปริมาณโปแตสเซียมในผลไม้จัดเป็นแร่ธาตุหลักที่พบซึ่งหากมีมากอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังบางชนิดได้รวมการเกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้เช่นกัน
http://www.yutcareyou.com/index.php?option=com_content&task=view&id=712&Itemid=45
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
-
สรรพคุณและประโยชน์ของฝรั่ง 33 ข้อ ! ฝรั่ง ชื่อสามัญ Guava ฝรั่ง ชื่อวิทยาศาสตร์ Psidium guajava Linn. จัดเป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในแถ...
-
รายชื่อผลไม้ต่อไปนี้ หากเพื่อนๆทานทุกวัน สามารถต้านมะเร็งได้นะครับ ผลไม้ต้านมะเร็ง องุ่น, บลูเบอรี่, เก๋ากี้, มังคุด, ทับทิม, อโ...