วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สตรอเบอร์รี่

6 เรื่องดี ๆ จากสตรอเบอร์รี่!


ใครวางแผนไปเที่ยวเชียงใหม่ยกมือขึ้น! อย่าลืมซื้อสตรอวเบอร์รี่มาฝากกันบ้างนะจ๊ะ เพราะเขาบอกว่าเจ้าผลไม้น่าเอ็นดูชนิดนี้มีประโยชน์มากมายเลยล่ะ

1.ดูแลสายตา


ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่อเราอายุมากขึ้น ดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายความแก่ชราจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอวเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติอีกด้วย

2.ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์


เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานนาน ๆ เข้า กล้ามเนื้อของเราก็มีแต่จะถดถอยของเหลว บริเวณข้อต่อกระดูก็จะเหือดแห้งลงไปเรื่อย ๆ และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา แต่อย่าห่วงไป เพราะเราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสรรพคุณล้างพิษของสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

3.กำราบโรคมะเร็ง


กินสตรอวเบอร์รี่ทุกวันสิคะเซลล์มะเร็ง และเนื้องอกต้องชิดซ้ายหลีกทางให้แก่สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี โฟเลต และแอนโธไชยานินส์ ที่มีอยู่มากมายในสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

4.ส่งเสริมการทำงานของสมอง


ยิ่งแก่ยิ่งขี้หลงขี้ลืม เพราะเนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมสภาพจากอนุมูลอิสระตัวร้าย ซึ่งสตรอวเบอร์รี่ช่วยได้ เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาท แถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

5.ลดความดันโลหิต


หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอวเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติค่ะ

6.ปราบโรคหัวใจ


ใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินบีบางชนิดที่พบได้ในสตรอวเบอร์รี่ จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

ผลไม้ตระกูลส้ม

   ไม่ ใช่เพียงแค่ "ส้ม" แต่คือ "ผลไม้ตระกูลส้ม" (Citrus) ซึ่งหมายถึงผลไม้อื่น ๆ อีกหลายชนิด เช่น มะนาว เลมอน มะกรูด ส้มโอ เกรปฟรุต ฯลฯ มาดูประโยชน์ที่เราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน

บำรุงผิว

ส้มเป็นผลไม้นางเอก เพราะพืชผลในครอบครัวส้มจะมีสารไฟโตนิวเทรียนต์มากมาย ที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงสารกลุ่มฟลาวาโนนส์ สารแอนโธไชยานินส์ สารโพลีฟีนอลส์ และวิตามินซี ที่ช่วยทำให้ผิวสวยกระจ่างใสค่ะ

เสริมสร้างกระดูก

เชื่อหรือไม่ว่าน้ำส้มสามารถให้แคลเซียม และวิตามินดีแก่ร่างกายได้ดีพอ ๆ กับนม และแคลเซียมจะไปเสริมสร้างกระดูก แต่ถ้าไม่มีวิตามินดี ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมจากอาหารได้ นอกจากนี้ น้ำส้มยังมีวิตามินซี ซึ่งจะช่วยเพิ่มกระบวนการดังกล่าวอีกด้วย แต่จำไว้ว่า กรดอะซีติกในผลไม้จำพวกนี้อาจทำลายสารเคลือบฟันได้ จึงไม่ควรแปรงฟันภายในหนึ่งชั่วโมงหลังจากดื่มน้ำผลไม้

ปกป้องหัวใจ
เปลือกของผลไม้ตระกูลส้มมีสารมหัศจรรย์อยู่มากมาย และหนึ่งในนั้นคือการ Polymethoxylated Flavones (PMFs) และสาร D-Limonene ซึ่งจะช่วยลดคอเลสเตอรอล ปรับระดับน้ำตาลในเลือด และกระตุ้นการกรองสารพิษของตับ นอกจากนี้ การศึกษายังชี้ว่า เม็ดสีในส้มเขียวหวานจะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) โดยไม่ส่งผลต่อคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) แล้วก็อย่าเอ็ดไปนะคะ ความจริงแล้วเปลือกส้มอาจลดคอเลสเตอรอลได้ดีกว่ายาปฏิชีวนะบางตัว ที่ขายกันตามท้องตลาดเสียอีก

ขับง่ายถ่ายคล่อง

ตำรับจีนมักจะเสิร์ฟเปลือกส้มคู่กับอาหาร เนื้อสัตว์ เพื่อย่อยอาหารที่มีไขมันสูง บางตำราแนะนำให้เริ่มวันใหม่ด้วยน้ำเลมอน 12 ออนซ์ ผสมกับน้ำกรองแล้วที่อุณหภูมิปกติ จะช่วยชะล้างของเสียในระบบย่อยอาหารและลำไส้ได้ เพราะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ

ดูแลสายตา

ผลไม้ตระกูลส้มอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยปกป้องแก้วตาจากโรคต้อกระจก และการศึกษายังพบว่าการบริโภควิตามินอีและซีในปริมาณมาก จะช่วยป้องกันโรคต้อกระจกได้ แม้แต่ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้สูง

อารมณ์ดี๊-ดี

จะทานก็ได้ จะดมก็ดี เพราะส้มมีสารโฟเลต ซึ่งจะช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนซีโรโทนิน อันเป็นสารแห่งความสุข กลิ่นของผลไม้ครอบครัวนี้ก็สามารถทำให้เราเบิกบานได้เช่นกัน ลองแต้มน้ำมันหอมที่สกัดจากผลไม้เหล่านี้บริเวณท้ายทอยสิคะ รับรองสดชื่นแน่นอน!



ข้อมูลจาก : women.thaiza.com

แตงโม

ประโยชน์ของแตงโม

ทำให้สุขภาพแข็งแรง

แตงโมมีสารที่เรียกว่า lycopene ที่มีแอนตี้ออกซิเดนท์ และช่วยในการบำรุงหัวใจ รวมถึงมะเร็ง สารนี้มีอยู่มากในมะเขือเทศเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว แตงโมมีมากกว่าถึง 40 เปอร์เซ็นต์

วิตามินซี

แตงโมเสี้ยวใหญ่ๆ จะเต็มไปด้วยวิตามินซีที่จำเป็นต่อร่างกายของเรา

ป้องกันการติดเชื้อ

การดื่มน้ำแตงโมช่วยเพิ่มเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายใช้ในการสร้างวิตามินเอ และการมีวิตามินเอมากๆ ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้


แผลหายเร็ว

แตงโมเป็นผลไม้ที่มี citrulline อยู่มาก สารตัวนี้จะช่วยในการรักษาแผลได้เร็ว อย่าดื่มแต่น้ำแตงโม ให้กินเนื้อมันเข้าไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นสีขาวอยู่ลึกลงไป แม้รสชาติจะไม่หวาน แต่มีประโยชน์

คลายเครียด

แตงโมเต็มไปด้วยโพแทสเซียม ที่จะช่วยควบคุมอัตราความดันโลหิต เรียกว่ากินแล้วจะอารมณ์ดี ยิ่งกินแบบเย็นๆ ยิ่งสบายใจ

ลดความอ้วน

ในแตงโมมีแคลอรี่แค่ 96 แคลอรี่เท่านั้น และการกินแตงโมที่ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำ ทำให้เราอิ่มได้เร็ว และไม่ต้องกินอาหารอื่นอีก

แตงโมแช่เย็นให้ความสดชื่นแก่ผู้รับประทานแต่อาจมีคุณค่าทางโภชนาการลดลงเมื่อเทียบกับแตงโมเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง :-

คณะนักวิจัยที่ห้องวิจัยปฏิบัติการทางการเกษตรในเมืองเลน รัฐโอคลาโฮมา ของกระทรวงเกษตรสหรัฐเผยในวารสารการเกษตรและเคมีอาหารว่า แตงโมเก็บที่อุณหภูมิห้องมีสารอาหารมากกว่าแตงโมแช่เย็นหรือแตงโมที่เพิ่งเก็บจากต้น พวกเขาศึกษาจากแตงโมที่เก็บไว้เป็นเวลา 14 วัน ณ อุณหภูมิที่แตกต่างกัน ได้แก่ 21 องศาเซลเซียส 13 องศาเซลเซียส และ 5 องศาเซลเซียส พบว่าแตงโมที่อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิห้องในอาคารติดเครื่องปรับอากาศมีสารอาหารมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีไลโคปีนและเบต้าแคโรทีนมากกว่าแตงโมที่เพิ่งเก็บจากต้นประมาณร้อยละ 40 และร้อยละ 50-139 ตามลำดับ

ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้ผักผลไม้มีสีแดง คาดว่าช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งได้บางชนิด ส่วนเบต้าแคโรทีนเป็นสารอาหารที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ งานวิจัยนี้ชี้ว่า แตงโมยังผลิตสารอาหารต่อเนื่องแม้ถูกเก็บมาจากต้นแล้ว กระบวนการนี้จะลดลงหากนำแตงโมไปเก็บในอุณหภูมิเย็น ปกติแล้วแตงโมจะมีอายุในการวางจำหน่ายประมาณ 14-21 วัน ณ อุณหภูมิ 13 องศาเซลเซียสหลังการเก็บเกี่ยว

ลำไย

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของลำไย


    ลำไย หรือก็คือ ผลไม้ลำไย นั่นเองค่ะ และคนส่วนใหญ่ก็ชอบที่นำลำไยมารับประทานกันค่อนข้างมากเลยทีเดียว และวันนี้เราก็นำ สรรพคุณของลำไยและประโยชน์ของลำไยมาฝากคุณ ๆ กันด้วยนะค่ะ แน่นอนว่านอกจากลำไยจะเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมแล้ว ประโยชน์ของลำไย ยังมีมากมายบางก็นำมาทำเป็นน้ำลำไยบ้างล่ะ ลำไยกระป๋องบ้างล่ะ ลำไยอบแห้งบ้างล่ะ และนอกจาก ประโยชน์ของลำไย แล้วเราก็ยังมี สรรพคุณของลำไย ที่จัดว่าเป็นสมุนไพรได้อีกด้วยเพราะช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้ค่ะ นั้นเรามาดูสรรพคุณของลำไยและประโยชน์ของลำไยกันเลยดีกว่าค่ะ


สรรพคุณ / ประโยชน์ของลำไย


ใบ : เป็นใบสด มีรสจืดและชุ่ม สุขุม เป็นยาแก้โรคมาลาเรีย ริดสีดวงทวาร ฝีหัวขาดและแก้ไข้หวัด โดยนำเอาต้มน้ำกิน

ดอก : ใช้ดอกสดหรือตากแห้งเก็บไว้ใช้ เป็นยาแก้โรคเกี่ยวกับหนองทั้งหลาย โดยใช้ใบสดประมาณ 5-30 กรัมต้มน้ำกิน

เมล็ด : ต้มหรือบดเป็นผงกินจะมีรสฝาด ใช้ภายนอกจะรักษากลากเกลื้อน แผลมีหนอง แก้ปวด สมานแผล ใช้ห้ามเลือด

รากหรือเปลือกราก : ต้มน้ำกินหรือเคี้ยวให้ข้นผสมกิน มีรสฝาด แก้สตรีตกขาวมากผิดปกติ ขับพยาธิเส้นด้าย

เปลือกผล : ใช้ที่แห้งนำมาต้มน้ำกิน แก้อาการวิงเวียนศีรษะและอ่อนเพลีย ทำให้สดชื่น จะมีรสชุ่มหรือใช้ทาภายนอกโดยเผาเป็นเถ้าหรือบดเป็นผงโรยแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

เนื้อหุ้มเมล็ด : นำมาต้มน้ำกินหรือแช่เหล้าเป็นยาบำรุงม้ามเลือดลมและหัวใจ บำรุงร่างกาย สงบประสาท แก้อ่อนเพลียจากการทำงานหนัก ลืมง่าย นอนไม่หลับ ประสาทอ่อนหรือจะบดเป็นผงผสมกับยาเม็ดกินก็ได้

Tips

1. โรคมาลาเรีย ใช้ใบสดกับปอขี้ตุ่นแห้ง 10-20 กรัมและน้ำ 2 แก้วผสมเหล้าอีก 1 แก้วต้มให้เหลือน้ำเพียง 1 แก้วกินก่อนมีอาการไข้ 2 ชั่วโมง
2. แผลเน่าเปื่อยและคัน ใช้เมล็ดเผาเป็นเถ้าแล้วทาตรงบริเวณที่เป็น
3. ปัสสาวะขัด ใช้เมล็ดมาทุบให้แตกแล้วต้มน้ำกิน แต่จะต้องลอกเอาเปลือกสีดำ ของเมล็ดออกก่อน
4. กลากเกลื้อน ใช้เมล็ดชุบน้ำส้มสายชูที่หมักจากข้าวถูทาตรงที่เป็น แต่ต้องลอกเอา เปลือกสีดำออกก่อน
5. แผลเรื้อรังและมีหนอง ใช้เมล็ดเผาเป็นเถ้า ผสมกับน้ำมันมะพร้าวทา
6. หกล้มเลือดออกหรือมีดบาด ใช้เมล็ดบดเป็นผงพอก ห้ามเลือดและจะช่วยแก้ปวด ด้วย แต่ต้องเอาเปลือกนอกสีดำออกก่อน

ข้อห้ามใช้

คนที่มีอาการเจ็บคอ หรือไอมีเสมหะหรือเป็นแผลอักเสบจนมีหนองไม่ควรกินเนื้อของผลลำไย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก chuankin ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

มะนาว

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะนาว


         มะนาวอีกหนึ่งพืชผักสมุนไพรไทยที่ไม่ได้มีแค่ประโยชน์ของมะนาวเท่านั้นแต่ยังมีอีกด้วย และวันนี้เราก็มาพูเรื่อง ประโยชน์ของมะนาว และ สรรพคุณของมะนาว เพื่อขยายความถึงความดีของสมุนไพรไทยชนิดนี้ให้ได้ฟังกันมากขึ้น ประโยชน์ของมะนาว นั้นเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ของคุณพ่อบ้านแม่บ้านกันอีกเช่นเคย โดยเฉพาะเมนูต้มยำกุ้งเรียกได้ว่าขาดมะนาวเสียไม่ได้เลยหรือจะเป็นเมนูอาหารจำพวกยำๆ ถ้าขาดมะนาวไปเมนูอาหารมื้อนี้คงไม่อร่อยเป็นแน่ค่ะ นอกจากนี้ สรรพคุณของมะนาว ก็ยังสามารถช่วยในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วยนั้นเรามาดู ประโยชน์ของมะนาว และ สรรพคุณของมะนาว กันเลยค่ะ

สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะนาว


ลักษณะทั่วไปของมะนาวเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กทรงพุ่ม ตัวใบรูปร่างกลมรี ขอบใบหยักเล็กน้อย ปลายและโคนใบมน ดอกเล็กสีขาวอมเหลือง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลกลมเปลือกบางเรียบ มีน้ำชุ่มมาก รสเปรี้ยว เปลือกผลมีน้ำมัน กลิ่นหอม รสขม สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด โดยเฉพาะดินร่วนซุยและระบายน้ำได้ดี ควรปลูกในฤดูฝนช่วงที่ปลูกใหม่ ๆ ต้องรดน้ำทุกวันและไม่ควรโดนแดดมาก

โดยมีความเชื่อตามตำราพรหมชาติฉบับหลวงกล่าวไว้ว่า มะนาวเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ในบริเวณบ้าน กำหนดปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (พายัพ) เพื่อผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านจะได้มีความสุขสวัสดี

มะนาว เป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค วิตามินซี ซึ่งได้จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาวมีวิตามินเอและซี รวมทั้งมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาว มีสรรพคุณทางยาคือ เปลือกผล มีรสขม ช่วยขับลม รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด

วิธีทำยา


นำเอาเปลือกของผลสดประมาณครึ่งผล คลึงหรือทุบเล็กน้อยพอให้น้ำมันออก ชงน้ำร้อนดื่มเวลามีอาการ

ส่วนน้ำมะนาว รักษาอาการไอและขับเสมหะ โดยใช้ผลสดคั้นน้ำจะได้น้ำมะนาวเข้มข้นใส่เกลือเล็กน้อยจิบบ่อย ๆ หรือจะทำเป็นน้ำมะนาวใส่เกลือและน้ำตาล ปรุงให้รสเข้มข้นพอควรดื่มบ่อย ๆ หรือนำน้ำมะนาวผสมดินสอพองใช้ทาบริเวณหัวโนจะทำให้เย็นและยุบลงเร็ว

สรรพคุณและประโยชน์ของน้ำมะนาวซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการเป็นที่รู้จักกันดีคือ มีวิตามินซีสูงมาก รักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ดี นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ด้านความงามโดยเอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้วนำมาทาบริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า จะช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี

สำหรับใบหน้าสามารถแก้สิวฝ้าได้ ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนองซึ่งมะนาวจะช่วยรักษาสิวให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อน ๆ จะทำให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วหลุดออกไปทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขนช่วยกำจัดเชื้อโรคและไขมันได้ด้วย การใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อย ๆ ยุบหายไปในที่สุดส่งผลให้ใบหน้าสวยใส

มะนาวจึงถือเป็นสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณทางยามากมาย ดังนั้นอย่าลืมหาซื้อมะนาวหรือปลูกเองติดบ้านไว้ใช้ประโยชน์เพื่อสุขภาพและความงามนอกเหนือจากไว้ปรุงรสอาหารนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์ ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

ประโยชน์จากมังคุด

มังคุด


การบริโภคมังคุด ทำให้เราได้บริโภคกากใยจากเนื้อของมังคุดด้วย ซึ่งจะช่วยในการขับถ่ายและยังได้สารอาหารวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ อีกหลายชนิด เช่น น้ำตาล กรดอินทรีย์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก

ที่มาิของมังคุด



มังคุด (อังกฤษ: Mangosteen) ชื่อวิทยาศาสตร์: Garcinia mangstana Linn. เป็นพันธุ์ไม้ไม่ผลัดใบเขตร้อนชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ที่หมู่เกาะซุนดาและหมู่เกาะโมลุกกะ แพร่กระจายพันธุ์ไปสู่หมู่เกาะอินดีสตะวันตกเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 24 แล้วจึงไปสู่ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส ปานามา เอกวาดอร์ ไปจนถึงฮาวาย ในประเทศไทยมีการปลูกมังคุดมานานแล้วเช่นกัน เพราะมีกล่าวถึงในพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ในสมัยรัชกาลที่ 1

มังคุดเป็นไม้ยืนต้น ลำต้นสูง 7-25 เมตร ใบเดี่ยวรูปรี ดอกออกเป็นคู่ที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ผลแก่เต็มที่มีสีม่วงแดง กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลืองติดอยู่จนเป็นผล ผลมีเปลือกนอกค่อนข้างแข็ง เนื้อในมีสีขาวฉ่ำน้ำ อาจมีเมล็ดอยู่ในเนื้อผลได้ ขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของผล จำนวนกลีบของเนื้อจะเท่ากับจำนวนกลีบดอกที่อยู่ด้านล่างของเปลือก ผลมังคุดมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเหมือนสตรอเบอรี่ที่ยังไม่สุกหรือส้มที่มีรสหวาน เมล็ดไม่สามารถใช้รับประทานได้ มังคุดเป็นผลไม้จากเอเชียที่ได้รับความนิยมมาก มังคุดได้รับขนานนามว่าเป็น "ราชินีของผลไม้" อาจเป็นเพราะด้วยลักษณะภายนอกของผลที่มีกลีบเลี้ยงติด อยู่ที่หัวขั้วของผลคล้ายมงกุฎของพระราชินีส่วนเนื้อในก็มีสีขาวสะอาด มีรสชาติที่แสนหวาน อร่อยอย่างยากที่จะหาผลไม้อื่นมาเทียบได้ ปัจจุบันมีการเพาะปลูกและขายบนเกาะบางเกาะในหมู่เกาะฮาวาย ต้นมังคุดต้องปลูกในสภาพอากาศอบอุ่น

สรรพคุณต่างๆ จากมังคุด
ประโยชน์จากมังคุด

•ผลของการศึกษาฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระโดยวิธี ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) ทำการเปรียบเทียบระหว่างน้ำผลไม้อื่นๆและมังคุด พบว่า มังคุดมีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระมากกว่า แครอท ราสเบอรรี่ บลูเบอรรี่ ทับทิม
•ผลจากฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารแซนโทน จึงป้องกันการเกิดออกซิเดชันของ LDL ซึ่งเป็นคลอเลสเตอรอลตัวร้าย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอีกทั้งยังลดการทำลายเซลล์ อันเป็นผลจากปฏิกิริยาลูกโซ่ จึงช่วยลดความเสี่ยงและชะลอการแก่ได้ด้วย
•มีผลต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งต่างๆรวมถึงการตายของเซลล์มะเร็งในการศึกษาระดับห้องปฎิบัติการ เช่น เซลล์มะเร็งเต้านม, เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว, เซลล์มะเร็งตับ, กระเพาะอาหาร และเซลล์มะเร็งปอด
•มีผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรียบางชนิด เช่น เชื้อวัณโรค, เชื้อ S. Enteritidis และเชื้อ HIV
•สามารถยับยั้งการหลั่งสารฮิสตามีน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันโรคภูมิแพ้
•สามารถยับยั้งการสังเคราะห์สารพลอสตาแกลนดินอีทู ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกระบวนการอักเสบต่างๆ เช่น การปวดอักเสบ กล้ามเนื้อและข้อ
•มีฤทธิ์ในการช่วยขยายตัวของหลอดเลือด ดังนั้นจึงมีประโยชน์ในการลดความดันโลหิต




ขอขอบคุณที่มา

วิกิพีเดีย

แอ๊ปเปิ้ล APPLE

แอ๊ปเปิ้ล APPLE


     เป็นผลไม้ยอดนิยมชนิดหนึ่งของโลก ต้นแอ๊ปเปิ้ลสูงประมาณ 5-12 เมตร ผลมีเปลือกสีแดง ชมพู เขียว และเหลืองตามสายพันธุ์ เนื้อในเป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล

คุณค่าโภชนาการ เมื่อกินโดยไม่ปอกเปลือก จะมีพลังงาน 80 แคลอรี วิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม วิตามินซี 7.9 มิลลิกรัม เหล็ก 0.2 มิลลิกรัม ทองแดง 0.1 มิลลิกรัม และโพแทสเซียม 158.7 มิลลิกรัม หากปอกเปลือกปริมาณสารสำคัญต่างๆ ก็จะลดลงไปจากที่กล่าวไว้

แอ๊ปเปิ้ลมีสารสำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ คือ
เพคติน มีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน นอกจากนั้นยังมีการกล่าวถึงสรรพคุณ บำรุงหัวใจ ลดคลอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส

บทความในวารสารการแพทย์สหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2470 ยกให้แอ๊ปเปิ้ลเป็นผลไม้เหมาะสำหรับผู้ป่วยภาวะเลือดเป็นกรด ไขข้อรูมาติก เกาต์ ดีซ่าน และอื่นๆ

แอ๊ปเปิ้ลยังช่วยควบคุมน้ำหนัก เพราะมีแป้งและน้ำตาลถึง 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทั้งทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิดและอ่อนเพลียระหว่างรอเวลาอาหารมื้อใหญ่ แต่แอปเปิ้ลผลสดๆ เท่านั้นที่มีสรรพคุณนี้ การดื่มน้ำแอปเปิ้ลไม่ทำให้หายหิว แต่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มด้วย
กินแอ๊ปเปิ้ลวันละ 2-3 ผลช่วยลดปริมาณคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด แต่จะได้ผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แอ๊ปเปิ้ลลดคลอเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย

คณะวิจัยมหาวิทยาลัยพอลซาบาทิเอร์ เมืองตูลูส ฝรั่งเศส ทดลองในอาสาสมัครวัยกลางคนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย 30 คน โดยให้กินอาหารเหมือนเดิมทุกประการ แต่กินแอปเปิ้ลด้วยวันละ 3 ผล ทุกวัน เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าอาสาสมัคร 24 คน มีปริมาณคลอเลสเตอรอลในเลือดลดลง บางคนลดมากกว่า 10% และเมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันแยกคลอเลสเตอรอลออกมาแล้ว เพคตินจะคอยดักจับคลอเลสเตอรอลเหล่านั้นนำไปทิ้งก่อนจะถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกาย เป็นการขจัดคลอเรสเตอรอลออกไป

แอ๊ปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด ปกติเมื่อกินอาหารเข้าไป อาหารแต่ละชนิดจะย่อยสลายและดูดซึมผ่านผนังกระเพาะลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะเพิ่มช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอาหารนั้น เช่น ถ้ากินน้ำผึ้ง น้ำตาลในเลือดจะขึ้นฮวบฮาบทันที แต่สำหรับแอ๊ปเปิ้ล ถึงจะมีน้ำตาลธรรมชาติในเนื้อแอปเปิ้ลมาก แต่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เท่านั้น และยังพบว่าคนที่กินอาหารที่มีไฟเบอร์มากๆ มีโอกาสเกิดเบาหวานต่ำกว่าคนที่กินน้อย และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไฟเบอร์จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วย แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูงมาก
มาทำความรู้จักกับประโยชน์ของแอ๊ปเปิ้ล โดยแบ่งตามสีดังนี้
1. แอ๊ปเปิ้ลแดง มีจุดเด่นที่ดีต่อสุขภาพคือมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมี
อิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วย

2. แอ๊ปเปิ้ลสีชมพู มีสารฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาแอ๊ปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

3. แอ๊ปเปิ้ลสีเขียว มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะการกิน
แอ๊ปเปิ้ลสีเขียวนอกจากจะได้รับน้ำตาลน้อยแล้ว ยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิว
แข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี


4. แอ๊ปเปิ้ลสีเหลือง มีประโยชน์ต่างจากสีอื่นๆ โดยมีสารเควอร์ซิตินที่ช่วยลดความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก


Subscribe to: Posts (Atom)

ลิ้นจี่เป็นอาหารและยา

ลิ้นจี่เป็นอาหารและยา



    ช่วงนี้เราเริ่มเห็นผลลิ้นจี่ทยอยสุก แต่สียังไม่เข้มจัด การเก็บเกี่ยว ลิ้นจี่มักเริ่มในเดือนกรกฎาคมถึงพฤศจิกายน เมื่อลิ้นจี่ออกสู่ท้องตลาด ลิ้นจี่จะเป็นของฝากที่มีคุณค่าที่เหมาะสำหรับผู้รับ โดยเฉพาะหากเราได้รู้จักลิ้นจี่ดีขึ้น ลิ้นจี่ Litchi chinensis Sonn. Family SAPINDACEAE เป็นไม้ผลยืนต้น เป็นพืชที่เขียวตลอดปี มีหลายพันธุ์ ที่นิยมจำหน่าย ได้แก่ กิมเจ็ง ฮงฮวยและ จักรพรรดิ ปลูกได้หลายภาคของไทย เนื้อลิ้นจี่ มีรสชาติหวานหอมอร่อย เป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานและแต่งรสชาติในอาหารหวานคาว และผสมในเครื่องดื่ม เป็นผลไม้ที่นิยมในประเทศจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดถึงเอเชียใต้ และอินเดีย

ลิ้นจี่มีต้นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้ อีกทั้งปลูกได้ในไทย เวียตนาม ญี่ปุ่น บังคลาเทศ และอินเดียตอนเหนือ อเมริกาใต้และสหรัฐอเมริกา (ฮาวาย และฟลอลิดา) ประเทศจีน บันทึกการใช้ผลไม้นี้ มาตั้งแต่ 2000 ปี ก่อนคริสตกาล ลิ้นจี่นั้นเป็นผลไม้ที่ให้ผลผลิตคุ้มค่ากับการลงทุนจึงถือว่าเป็นผลไม้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ที่สามารถนำผลผลิตที่ได้มาจำหน่ายในรูปของผลไม้สดและผลไม้แปรรูป เช่นการทำลิ้นจี่กระป๋อง ลิ้นจี่อบแห้ง แต่รสชาติจะไม่เหมือนลิ้นจี่สด เพราะความหอมได้ถูกทำลายไปในขั้นตอนการผลิต ปัจจุบันนี้ ลิ้นจี่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีความหลากหลายขึ้นเรื่อยๆจากสายพันธุ์ดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว
เนื้อลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน และเกลือแร่ เช่น วิตามิน บี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซีน วิตามินเอ ซี วิตามินบี 6 วิตามินอี โปแตสเซี่ยม ทองแดง สังกะสี ฟอสฟอรัส ซีลีเนียม โฟเลต และมีเส้นใยอาหารสูง นอกจากนี้มีกรดอะมิโนที่เป็นโครงสร้างของโปรตีนได้แก่ ไทโรซีน แอสปาราจีน อะลานีน ทรีโอนีน วาลีน และสารประกอบไกลซีน น้ำมันจากเมล็ดลิ้นจี่มีสารประกอบ เป็นกรดไขมันที่สำคัญเช่น ปาล์มมิติก 12% โอลิอิก 27% และไลโนเลอิค 11% ส่วนเปลือกผลมีสารประกอบประเภท ไซยานิดิน- 3 -กลูโคไซด์ และมัลวิดิน - 3 - อะเซทิล – กลูโคไซด์

สรรพคุณทางยา ตามที่ใช้ในประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ นับมาแต่โบราณ เนื้อในผล กินเป็นยาบำรุง แก้อาการไอเรื้อรัง แก้อาการคัดจมูก รักษาอาการท้องเดิน ลดกรดในกระ-เพาะอาหาร และบรรเทาอาการไม่ปกติของระบบทางเดินอาหาร
ในประเทศจีนใช้เปลือกผลลิ้นจี่ทำเป็นชา ใช้ชงเพื่อบรรเทาอาการหวัด แก้การติดเชื้อในลำคอ อาการท้องเสียอย่างอ่อน และโรคจากการติดเชื้อไวรัส ตำรายาจีนกล่าวเฉพาะเมล็ดลิ้นจี่ ว่ามีรสหวาน ขมเล็กน้อย สรรพคุณอุ่น ทำให้พลังชี่ขับเคลื่อน ลดอาการปวด ใช้กรณีปวดท้อง ปวดไส้เลื่อน ปวดบวมของอัณฑะ ใช้ขนาด 5-10 กรัม โดยมักผสมกับสมุนไพรอื่นอีก หนึ่งหรือสองชนิด เมล็ดลิ้นจี่ ที่แห้ง ควรนำมาบด คั่วให้แห้งโดยผสมด้วยน้ำเกลือ แล้วจึงเติมน้ำลงไปต้ม น้ำดื่ม หรือทำเป็นผง รับประทานหรือใช้ ผงยาพอกบริเวณมีอาการปวดบวม รากลิ้นจี่หรือเปลือกต้นใช้แก้อาการติดเชื้อ ไวรัส อีสุกอีใส และเพิ่มความสามารถระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

สำหรับ งานวิจัยซึ่ง ยังต้องการพิสูจน์ซ้ำเพื่อให้ได้ผลยืนยัน พบว่า สารสกัดเมล็ด ด้วยน้ำขนาด 0.6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้แก่ผู้ที่เป็นพาหะโรคไวรัสตับชนิด บี ใช้ได้ผลดีในการยับยั้งเอ็นไซม์ตับที่สูงขึ้น

งานวิจัยเปลือก ของผลลิ้นจี่มีสารกลุ่มฟลาโวนอลที่สำคัญคือ โพรไซยาไนดินบี 4 ไพรไซยา- ไนดินบี 2 และอีพิคาเทชิน ส่วนที่สำคัญคือ ไซยาไนดิน - 3 - รูตินโนไซด์ ไซยาไนดิน- 3 กลูโคไซด์ เควอเซทิน – 3 - รูติโนไซด์ และเควอเซทิน - 3 - กลูโคไซด์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง และสารสกัดเปลือกยัง มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์ มะเร็งเต้านม ทั้งในห้องทดลองและในสัตว์ทดลอง โดยยับยั้งการขยายจำนวนเซลล์ การควบคุมการสื่อสารระหว่างเซลล์มะเร็ง และเหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็ง

รายงานวิจัยที่ทำในประเทศจีนอื่นๆยังพบว่า สารสกัดลิ้นจี่ลดขนาดเนื้องอกในสัตว์ทดลอง แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นสารสกัดส่วนใดของลิ้นจี่ สำหรับงานวิจัย นักวิทยาศาสตร์ของไทย พบว่าสารสกัดผลลิ้นจี่มีฤทธิ์ในการปกป้องตับ ในหนูที่เหนี่ยวนำให้ได้รับสารพิษ และเป็นโรคตับ

ผลการใช้ลิ้นจี่และผลวิจัยจากสารสกัดลิ้นจี่ แสดง ศักยภาพของลิ้นจี่ ไม่เพียงแต่มีรสอร่อย แต่ยังมากด้วยคุณค่าทางยา อย่างไรก็ดี เนื้อผลลิ้นจี่ ยังมีสารประกอบที่พบในการวิจัยและคาดว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิด อาการ “ ร้อนใน ” ได้ การรับประทานลิ้นจี่มากเกินไปอาจเกิดอาการดังกล่าวได้ ควรรับประทานอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะอาหารรสเย็น เพื่อให้เกิดความสมดุลและแก้อาการดังกล่าว


: บทความ : รศ.ดร.ภญ.พาณี ศิริสะอาด
: ภาพ : สุภฎารัตน์ สุธีพรวิโรจน์

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ผักชีลาว

ผักชีลาว


ชื่อวิทยาศาสตร์  Anethumgraveolens Linn.

วงศ์   Umbelliferae

ชื่ออื่น   ผักชี , เทียนข้าวเปลือก ,เทียนตาตั๊กแตน ,ผักชีตั๊กแตน, ผักชีเทียน , ผักชีเมือง,สามร้อยยอด

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นพืชล้มลุก   ลักษณะลำต้นเขียว แตกกิ่งเล็กน้อย บางพันธุ์แตกกอ  ลักษณะใบเป็นใบประกอบแบบขนนกแตกฝอยสีเขียว  ใบออกเรียงสลับกันกาบใบหุ้มนิ่มไม่แข็ง  ลักษณะดอกมีขนาดเล็กเป็นกระจุกสีเหลืองออกเป็นช่อ  เมล็ดผลเป็นสีเขียวเมื่อแก่เป็นสีน้ำตาลออกเหลือง  มีกลิ่นหอมฉุนเฉพาะขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และเหง้าในพันธุ์ที่แตกกอ……ขึ้นได้ดีในดินร่วนที่มีอินทรีย์วัตถุและมีความชื้นจะทำให้ต้นอวบสูง หรือแตกกอได้ดี…..

สรรพคุณทางสมุนไพร


ผักชีลาว แก้อาการท้องผูก  ท้องอืด ท้องเฟ้อ  ขับลม แก้ปัสสาวะขัด  ลดความดันโลหิตสูง ขยายหลอดเลือดและกระตุ้นการหายใจ แก้หอบหืด  และช่วยกระตุ้นให้มีน้ำนมในหญิงให้นมบุตรด้วย  ทั้งยังช่วยแก้วิงเวียน อาเจียน เป็นลม ขับเหงื่อ
ประโยชน์ของผักชีลาวผักชีลาว ยังมีสรรพคุณทางยามากมายที่ช่วยเพิ่มการทำงานของกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหารที่รับประทาน แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ นอกจากนี้ยังมีส่วนชวยลดความดันโลหิต ช่วยขยายหลอดเลือดและช่วยกระตุ้นการหายใจได้อีกด้วย สำหรับประโยชน์เต็มๆ
1.    มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมาก ช่วยในการชะลอวัย
2.    ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับตาต่างๆ (เพราะมีวิตามินเอสูงมาก)
3.    ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง (มีแคลเซียมสูง)
4.    ใช้เป็นยาบำรุงกำลังชั่วคราว (ผลแก่)
5.    ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย
6.    ช่วยลดความดันโลหิตสูง
7.    ช่วยยับยั้งหรือช่วยชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง (มีสารต่อต้านมะเร็ง)
8.    ผักชีลาว ประโยชน์ช่วยรักษาโรคเบาหวาน (สารเบต้าแคโรทีน)
9.    ช่วยขยายหลอดเลือด
10. ช่วยบำรุงปอด (ผล)
11. ช่วยขับเหงื่อ (ทั้งต้น)
12. ช่วยกระตุ้นการหายใจ
13. แก้หอบหืด (ผล)
14. ช่วยแก้อาการไอ (ผล)
15. ช่วยแก้อาการสะอึก (ผล)
16. สรรพคุณของผักชีลาว ช่วยเพิ่มปริมาณของน้ำนมสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตร (ใบ)
17. ช่วยลดอาการโคลิค (Baby Colic) หรืออาการ "เด็กร้องร้อยวัน" ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในเด็กแรกเกิด (ใบ)
18. ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เป็นลม (ผล)
19. สรรพคุณผักชีลาว ช่วยส่งเสริมการทำงานของกระเพาะอาหาร (ใบ)
20. ช่วยแก้อาการปวดท้อง ด้วยการใช้ผลแห้งนำมาบดให้เป็นผงแล้วชงกับน้ำดื่มวันละ 4 แก้ว (ผลแก่)
21. ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ด้วยการใช้ผลแห้งนำมาบดให้เป็นผงแล้วชงกับน้ำดื่มวันละ 4 แก้ว หรือจะใช้ต้นสดนำมาผสมกับนมให้เด็กอ่อนดื่มแก้อาการก็ได้เช่นกัน (ผลแก่)
22. แก้อาการอึดอัดแน่นท้อง ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 50 กรัม นำมาเคี่ยวกับน้ำจนข้นแล้วรับประทาน (ต้นสด)
23. ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้ผลแห้งนำมาบดให้เป็นผงแล้วชงกับน้ำดื่มวันละ 4 แก้ว (ผลแก่)
24. ผักชีลาว สรรพคุณช่วยแก้อาการท้องผูก ด้วยการใช้ใบสดหรือยอดอ่อนนำมาต้มกินเป็นอาหาร (ใบ)
25. แก้อาการปัสสาวะขัด ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 50 กรัมนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นชา (ใบ)
26. ช่วยรักษาไส้ติ่งอักเสบ ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 60 กรัมนำมาต้มกับน้ำกิน (ต้นสด)
27. ช่วยรักษาฝีเนื้อร้าย ด้วยการใบสดนำมาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็นฝีวันละ 2 ครั้ง (ใบ)
28. ช่วยแก้อาการบวม (ทั้งต้น)
29. ประโยชน์ผักชีลาว ช่วยแก้เหน็บชา (ทั้งต้น)
30. ช่วยทำให้ง่วงนอน (ผล)
31. ผลหรือเมล็ดมีน้ำมันหอมระเหย นำมาผลิตใช้ในอุตสาหรกรรมอาหาร อุสาหกรรมเครื่องสำอาง เช่น สบู่ โลชั่นบำรุงผิว เป็นต้น (ผล)
32. ใบ นิยมนำมาใส่แกงอ่อม แกงหน่อไม้ ห่อหมก น้ำพริกปล้าร้า ผักชีลาวผัดไข่ ยอดของใบใช้รับประทานกับลาบ และยังช่วยชูรสชาติอาหารอีกด้วย (ใบ)
33. ผลนิยมนำมาบดโรยบนมนัฝรั่งบดหรือสลัดผักเพื่อช่วยเพิ่มรสชาติของอาหาร (ผล)
34. ประโยชน์ของผักชีลาว ใบสดและแห้งนิยมนำมาโรยบนอาหารประเภทปลาเพื่อช่วยดับกลิ่นคาว (ใบ)
35. น้ำมันผักชีลาวนำมาใช้แต่งกลิ่นผักดอง สูต น้ำซอส ของหวาน และเครื่องดื่มรวมไปถึงเหล้าด้วย (น้ำมันผักชีลาว)

แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, สำนักงานกองทุนสนับสนันการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

มะระขี้นก

มะระขี้นก

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Momordica charantia  L.
ชื่อสามัญ :   Bitter Cucumber, Balsum Pear
วงศ์ :  Cucurbitaceae
ชื่ออื่น :  ผักไห่ มะไห่ มะนอย มะห่วย ผักไซ (เหนือ) สุพะซู สุพะเด (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) มะร้อยรู (กลาง) ผักเหย (สงขลา) ผักไห (นครศรีธรรมราช) ระ (ใต้) ผักสะไล ผักไส่ (อีสาน) โกควยเกี๋ยะ โควกวย (จีน) มะระเล็ก มะระขี้นก (ทั่วไป)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
เป็นไม้เลื้อยพันต้นไม้อื่น มีมือเกาะ ลำต้นเป็นเหลี่ยมมีขนปกคลุม ใบเดี่ยว ออกสลับลักษณะคล้ายใบแตงโมแต่เล็กกว่า มีสีเขียวทั้งใบ ขอบใบหยัก เว้าลึก มี 5-7 หยัก ปลายใบแหลม ออกดอกเดี่ยวตามง่ามใบ สีเหลืองอ่อน มี 5 กลีบ เกสรมีสีเหลืองแก่ถึงส้ม กลีบดอกบาง ช้ำง่าย ผลเดี่ยว รูปกระสวย ผิวขรุขระ มีปุ่มยื่นออกมา ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองถึงส้ม ผลแก่แตกอ้าออก เมล็ดสุกมีสีแดงสด รูปร่างกลมแบน
ส่วนที่ใช้ : ราก เถา ใบ ดอก ผลและเมล็ด ใช้สดหรือตากแห้งเก็บไว้ใช้ ผลอาจเก็บมาหั่นเป็นท่อนๆ ตากแห้งเก็บไว้ใช้
ลักษณะยาแห้ง : เนื้อผลแห้งมีลักษณะเป็นท่อนยาวกลม เนื้อหนาประมาณ 2-8 มม. ยาว 3-15 ซม. กว้าง 0.4-2 ซม. ทั้งแผ่นมีรอยย่นขรุขระ ผิวเปลือกสีเทาออกน้ำตาล ระหว่างกลางอาจมีเมล็ด หรือรอยของเมล็ดที่ร่วงไปแล้ว เนื้อแข็งหักง่าย รสขมเล็กน้อย ยาที่ดีควรมีผิวนอกสีเขียว เนื้อในสีขาว เป็นแผ่นบางมีเมล็ดติดมาน้อย
สรรพคุณ :
ผลแห้ง - รักษาโรคหิด
ผล - รสขม เย็นจัด ใช้แก้ร้อน ร้อนในกระหายน้ำทำให้ตาสว่าง แก้บิด ตาบวมแดง แผลบวมเป็นหนอง ฝีอักเสบ
เมล็ด - รสขม ชุ่ม ไม่มีพิษ แก้วัวถูกพิษใช้คั้นเอาน้ำให้กิน เป็นยากระตุ้นความรู้สึกทางเพศ เพิ่มพูนลมปราณ บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง
ใบ - แก้โรคกระเพาะ บิด แผลฝีบวมอักเสบ ขับพยาธิ
ดอก - รสขม เย็นจัด ใช้แก้บิด
ราก - รสขม เย็นจัด ใช้แก้ร้อน แก้พิษ บิดถ่ายเป็นเลือด แผลฝีบวมอักเสบ และปวดฟัน
เถา - รสขม เย็นจัด ใช้แก้ร้อน แก้พิษ บิดฝีอักเสบ ปวดฟัน
วิธีและปริมาณที่ใช้
ผลสด - ต้มรับประทาน ครั้งละ 6-15 กรัม หรือผิงไฟให้แห้ง บดเป็นผงรับประทาน ใช้ภายนอก ตำคั้นเอาน้ำทาหรือพอก
เมล็ดแห้ง - 3 กรัม ต้มน้ำดื่ม
ใบสด - 30-60 กรัม ต้มน้ำดื่ม หรือใบแห้งบดเป็นผงรับประทาน ใช้ภายนอกต้มเอาน้ำชะล้าง กอก หรือคั้นเอาน้ำทา
รากสด - 30-60 กรัม ต้มน้ำดื่ม ใช้ภายนอก ต้มเอาน้ำชะล้าง
เถาแห้ง - 3-12 กรัม ต้มน้ำดื่ม ใช้ภายนอก ต้มเอาน้ำชะล้าง หรือตำพอก
ข้อห้ามใช้ : พวกที่ม้ามเย็นพร่อง กระเพาะเย็นพร่อง เมื่อรับประทานเข้าไปจะอาเขียน ถ่ายท้องปวดท้อง
ตำรับยา
แก้ไข้ที่เกิดจากกระทบความร้อน
ใช้ผลสด 1 ผล ควักไส้ในออกใส่ใบชาเข้าไปแล้วประกบกันน้ำไปตากแห้งในที่ร่ม รับประทานครั้งละ 6-10 กรัม โดยต้มน้ำดื่มหรือชงน้ำดื่มต่างชาก็ได้
แก้ร้อนในกระหายน้ำ
ใช้ผลสด 1 ผล ขูดไส้ในออก หั่นฝอยต้มน้ำดื่ม
แก้บิด ใช้น้ำคั้นจากผลสด 1 แก้ว ผสมน้ำดื่ม
- แก้บิดเฉียบพลัน ใช้ดอกสด 20 ดอก ตำคั้นเอาน้ำมาผสมน้ำผึ้งพอสมควรดื่ม บิดถ่ายเป็นเลือด ก็เพิ่มข้าวแดงเมืองจีน (อั่งคัก Monascus pur-pureus, Went.) อีก 2-3 กรัม บิดมูกให้เพิ่มอิ๊ชั่ว (ยาสำเร็จรูปชนิดหนึ่ง) 10 กรัม ผสมน้ำสุกรับประทาน
- แก้บิดปวดท้อง ถ่ายเป็นเมือกๆ ใช้รากสด 60 กรัม น้ำตาลกรวด 60 กรัม ต้มน้ำดื่ม ถ่ายเป็นเลือด ใช้รากสด 120 กรัม ต้มน้ำดื่ม
- แก้บิดถ่ายเป็นมูกเลือดหรือเลือด ใช้เถาสด 1 กำมือ แก้บิดมูก ใส่เหล้าต้มดื่ม แก้บิดเลือด ให้ต้มน้ำดื่ม
แก้แผลบวม  ใช้ผลสดตำพอก
แก้ปวดฝี  ใช้ใบแห้ง บดเป็นผงชงเหล้าดื่มแก้ฝีบวมปวดอักเสบ ใช้ใบสดตำคั้นเอาน้ำทาบริเวณที่เป็นหรือใช้รากแห้งบดเป็นผงผสมน้ำพอก
แผลสุนัขกัด ใช้ใบสดตำพอก
แก้ปวดฟัน  ใช้รากสดตำพอก
ขับพยาธิ  ใช้ใบสด 120 กรัม ตำคั้นเอาน้ำดื่ม นอกจากนี้ยังใช้เมล็ด 2-3 เมล็ด รับประทานขับพยาธิตัวกลม
แก้คัน แก้หิดและโรคผิวหนังต่างๆ  ใช้ผลแห้งบดเป็นผง ใช้โรยแผลแก้คันหรือทำเป็นขี้ผึ้ง ใช้ทาแก้หิดและโรคผิวหนังต่างๆ
สารเคมีที่พบ
ผล  มี Charanthin (b - Sitosterol b - D - glucoside กับ 5,25 stigmastadien 3b - ol -b - D - Glucoside), Serotonin และ Amino acids เช่น Glutamic acid, Alanine,  b - Alanine Phenylalanine, Proline,  a - Aminobutyric acid, Citrulline,  Galacturonic acid
เมล็ด มีความชื่น 8.6%  เถ้า 21.8% Cellulose 19.5%  เถ้าที่ละลายน้ำ 16.4% ไขมัน 31.0 % (ประกอบด้วย Butyric acid 1.8%  Palmitic acid 2.8%, Stearic acid 21.7%  Oleic acid 30%,  a - Elaeostearic acid 43.7%, Momordicine, Protein
ใบสด มี Momordicine

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก www.rspg.or.th

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ลูกเดือย ธัญพืชสำหรับคนหลับยาก

ลูกเดือย มีสารอาหารมากมายที่คุณคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 1 วิตามินเอ โพแทสเซียม โปรตีนคุณภาพสูงเทียบเท่าโปรตีนที่ได้จากข้าวโอ๊ต ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส แคลเซียม ใยอาหาร และกรดอะมิโน ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น เพราะกรดอะมิโนตัวนี้จะสามารถเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์สมองหลั่งสารที่ทำให้นอน หลับ สมองก็จะพักการทำงานชั่วคราว หลังจากที่ทำงานมาอย่างหนักตลอดทั้งวัน ดังนั้นสำหรับผู้ที่เป็นโรคนอนไม่หลับหรือหลับยาก ลองดื่มน้ำเต้าหู้อุ่นๆ ผสมลูกเดือยก่อนนอนก็น่าจะช่วยให้หลับง่ายขึ้นได้


ที่มา  http://th.openrice.com/