วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

มะยมดีมีประโยชน์

คติความเชื่อ

  มะยมเป็นต้นไม้ที่ควรปลูกไว้ทางทิศตะวันตก (ประจิม)   เพื่อป้องกันความถ่อย ถ้อยความ และผีร้ายมิให้มากล้ำกราย ในบางตำราก็ว่า เป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม   ปลูกแล้วผู้คนจะได้นิยมเหมือนมีนะเมตตา มหานิยม

ชื่อพื้นเมือง
  ยม (ใต้) มะยม   (ทั่วไป)หมักยม , หมากยม (อุดรธานี, อีสาน)

ชื่อวิทยาศาสตร์
  Phyllanthus   acidus (Linn.) Skeels.

วงศ์
  EUPHORBIACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

  มะยมเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง   สูงประมาณ 3-10 เมตร ลำต้นตั้งตรงแตกกิ่งก้านสาขาบริเวณปลายยอด กิ่งก้านจะเปราะและแตกง่าย   เปลือกต้นขรุขระสีเทาปนน้ำตาล
  ใบ เป็นใบรวม   มีใบย่อยออกเรียงแบบสลับกันเป็นแถว แต่ละก้านมีใบย่อย 20-30 คู่ ใบรูปขอบขนานกลมหรือค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปลายใบแหลม   ฐานใบกลมหรือมน ขอบใบเรียบ ใบกว้าง 1.5-3.5 ซม. ยาว 2.5-7.5   ซม.
  ดอก ออกเป็นช่อตามกิ่ง   ดอกย่อยสีเหลืองอมน้ำตาลเรื่อ ๆ
  ผล อ่อนสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง   เนื้อฉ่ำน้ำ เมล็ดรูปร่างกลม แข็ง สีน้ำตาลอ่อน 1 เมล็ด

การปลูก
  มะยมเป็นพันธุ์ไม้กลางแจ้ง   เจริญเติบโตได้ดีทั้งที่แดดจัด หรือในที่ร่มรำไร ปลูกขึ้นได้ดีในดินที่ร่วนซุย มีความชื้นพอเหมาะ   ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

ประโยชน์ทางยา
  ส่วนที่ใช้เป็นยา ราก เปลือกต้น ใบ ดอก ผล
  รสและสรรพคุณในตำรายาไทย
  ราก รสจืด สรรพคุณแก้โรคผิวหนัง แก้ผดผื่นคัน   ช่วยซับน้ำเหลืองให้แห้ง แก้ประดง ดับพิษเสมหะ โลหิต
  เปลือกต้น รสจืด สรรพคุณแก้ไข้ทับระดู   ระดูทับไข้ แก้เม็ดผดผื่นคัน
  ใบ รสจืด   ปรุงเป็นส่วนประกอบของยาเขียว สรรพคุณแก้ไข้ ดับพิษไข้ บำรุงประสาท ต้มร่วมกับใบหมากผู้หมากเมียและใบมะเฟืองอาบแก้ผื่นคัน   ไข้หัด เหือด สุกใส
  ดอก ใช้สด ต้มกรองเอาน้ำแก้โรคในตา ชำระน้ำในตา
  ผล รสเปรี้ยวสุขุม กัดเสมหะ แก้ไอ   บำรุงโลหิต ระบายท้อง
  ขนาดและวิธีใช้
  1. ใช้เป็นยาแก้ไข้ทับระดู ระดูทับไข้ ให้นำเปลือกต้น   มาต้มเอาน้ำดื่ม
  2. ใช้สำหรับล้างและชำระฝ้านัยน์ตา แก้โรคตา ให้นำดอกสด   ต้มกรองเอาน้ำล้าง
  3. กัดเสมหะ แก้ไอ บำรุงโลหิต รับประทานผลได้ทั้งดิบและสุด

ประโยชน์ทางอาหาร
  ส่วนที่ใช้เป็นผัก   ยอดอ่อน ใบอ่อน ผลมะยมแก่รับประทานเป็นผักได้
  การปรุงอาหาร ชาวไทยภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสานรู้จักรับประทานมะยมเป็นผัก   ชาวภาคกลางนิยมใช้ยอดอ่อนเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ส้มตำ และนำมาชุบแป้งทอด รับประทานร่วมกับขนมจีนน้ำยา


ที่มา  http://www.gotoknow.org/posts/493429

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

เก๋ากี้

**โกจิเบอร์รี่" หรือที่เราคุ้นเคยเรียกกันว่า เก๋ากี้**

**สรรพคุณ**

1. ประกอบด้วยกรดอะมิโน 19 ชนิด (ปกติมี 20 ชนิด)
แต่มีกรดอะมิโนครบทั้ง 9 ชนิด

2. มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องกายในปริมาณน้อย รวม 21 ชนิด ที่สำคัญ
ได้แก่ สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ซิลีเนียม และ
เจอร์มาเนียม ฯลฯ

3. มีวิตามินซีสูงกว่าส้ม 500 เท่า (เป็นพืชที่มีวิตามินิซีสูงเป็นอันดับสอง
รองจาก คามู คามูเบอร์รี่)

4. มีวิตามิน บี1 บี2 บี6 และวิตามินอี

5. มีสารโพลี่แซคคาไรด์ 4 ชนิด : LBP-1, LBP-2, LBP-3, LBP-4 - ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุลดี
- ช่วยปรับความดันโลหิตให้ปกติ
- ช่วยให้น้ำตาลในเลือด และอินซูลินอยู่ในสภาวะสมดุล
- ช่วยลดน้ำหนัก โดยเสริมการเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานแทนไขมัน
- ช่วยฟื้นฟูสภาพเซลล์ที่ถูกทำลายจากสารเคมีหรือรังสีให้สู่ปกติได้เร็วขึ้น

6. มีสารเจอร์มาเนี่ยม Germanium : Ge ที่อยู่ในสภาพอินทรีย์ (organic)
ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง

7. มีสารซิแซนทิน(Zeaxanthin) มีสูงถึง162 มก./100 กรัมสูงกว่าสาหร่ายเกลียวทองประมาณ 5 เท่า
- ช่วยบำรุงสายตา และป้องกันแสงสีน้ำเงินที่ทำลายดวงตา
- ช่วยผู้มีอาการ ต้อลม ตาพร่า ตามัว ให้คืนสู่สภาพปกติ

8. เบต้า - ไซโตสเตอรอล (Beta - sitosterol)
- ช่วยลดคอเลสเตอรอลโดยการดูดซึมที่ลำไส้
- ช่วยลดอาการต่อมลูกหมากโต
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพน้ำอสุจิให้แข็งแรง

9. ไซเพอโรน (Cyperone) ช่วยให้หัวใจและความดันทำงานได้ปกติ

10. ไฟซาลิน (Physalin) ช่วยกำจัดโรคร้าย ลิวคีเมีย (Leukemia)

11. บีรเทน (Betaine) เป็นสารประกอบที่ให้ตับใช้ ผลิตโคลีน
ซึ่งเป็นสารประกอบที่
- ช่วยให้มีความจำดี
- ช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเจริญเติบโต
- ช่วยป้องกันโรคตับ

12. สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด
ในบรรดาผักและผลไม้อื่นๆ คือ มีค่า ORAC สูง 25,300 unite

ขอขอบคุณข้อมูลจาก siamnutra.igetweb

เก๋ากี้ (Chinese Wolfberry)

เก๋ากี้ เป็นผลของต้นเก๋ากี้ เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้รับประทาน
กันในหมู่ชาวจีน
ผลที่สุกแล้วจะมีสีแดงเหมือนเลือด จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "ฮ่วยกี้"
เป็นยาบำรุงชั้นดี ในอดีต เป็นผลไม้บรรณาการที่ใช้ถวายแด่ฮ่องเต้
เก๋ากี้ มีปลูกทั่วไปในประเทศจีน แต่ที่ปลูกในมณฑล หนิงเซี่ย กานซู่ เหอเป่ย ส่านซี
เก๋ากี้ที่ดีต้องมีเม็ดใหญ่ สีแดง เนื้อหนา อ่อนนิ่ม รสหวาน

*การเก็บรักษา**
ควรเก็บไว้ในที่แห้ง ระวังอย่าให้ชื้น มิฉะนั้นจะทำให้เสื่อมคุณภาพ หรือขึ้นรา

ส่วนที่ใช้ : ส่วนที่ใช้กันมากคือเมล็ด
สารสำคัญ : แคโรทีน, ไทอามีน, วิตามิน ซี เอ และบี 2, น้ำตาล, โปรตีน
สรรพคุณ : แก้ไอ วิงเวียนศีรษะ บำรุงไต เลือด ตับ และสายตา
ใน Compendium of Materia Medice ของจีน บันทึกไว้ว่า
 เก๋ากี้ บำรุงไต  บำรุงปอด บำรุงสายตา รักษาโรคตาบอดกลางคืน

**ตำรับยา**

**ปวดหลัง ปวดเอว**
เก๋ากี้ และ โต่วต๋ง จำนวนพอเหมาะ ต้มน้ำรับประทาน หรือใช้ปรุงอาหาร

**บำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย**
เก๋ากี้ ตังกุย โสมคน เส็กตี่ ปาเก็ก อย่างละพอเหมาะ ต้มน้ำ รับประทาน

**บำรุงประสาท กล่อมประสาท ทำให้หลับสบาย**
เม็ดเก๋ากี้ เนื้อลำไยแห้ง อย่างละ 1 ลิตร เติมน้ำ 10 ลิตร
ต้มจนเนื้อยาเปื่อย  กรองเอากากยาทิ้ง เคี่ยวต่อจนได้น้ำข้นๆ
รับประทานครั้งละ  2 – 3 ช้อนโต๊ะ วันละหลายๆครั้ง

**แก้อาการตามัว ตาบอดกลางคืน**
ดอกเก๊กฮวย ปาเก็ก และเก๋ากี้ จำนวนพอเหมาะ ต้มน้ำ รับประทาน














วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

ลูกเดือยต้านมะเร็ง





    ลูกเดือย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Coix lacryma-jobi วงศ์ Poaceae เป็นธัญพืชตระกูลเดียวกับข้าว เป็นพืชพื้นเมืองแท้ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมล็ดมีรูปร่างกลม ๆ รี ๆ สีขาว รสชาติออกมันเล็กน้อย มีคุณค่าทางอาหารสูง ให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมาก

ลูกเดือยตากแห้ง เมื่อปรุงอาหารแล้วจะมีรสหวานและมีฤทธิ์เย็นเล็กน้อย ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร ทำให้ฝีหนองหายเร็ว ลดไข้ได้ดี

ในหนังสือ สมุนไพร 91 ชนิด พิชิตโรค ชุด ตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน ที่ยูเนสโกคัดเลือกให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก จากสำนักพิมพ์อินสปายร์ บันทึกไว้ว่า แพทย์พบว่า ลูกเดือยออกฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ และยังแก้อักเสบ ลดคอเลสเตอรอล บรรเทาอาการเจ็บปวดอื่น ๆ เช่น ปวดท้องคลอดได้ ลดอาการบวม แก้โรคเหน็บชา

วิธีบรรเทา โรคตับอักเสบเรื้อรัง โรคไตอักเสบรุนแรง ให้นำลูกเดือยมาบดเป็นผงหรือต้มกินวันละ 12-35 กรัม จะช่วยรักษาภาวะทุพโภชนาการได้ หากนำลูกเดือยบดเป็นผง 30-60 กรัม ไปต้มรวมกับข้าวต้ม 60 กรัม แล้วกินทั้งเช้าและเย็น จะช่วยรักษาอาการบวมน้ำในคนชรา อาการท้องร่วง ข้อต่ออักเสบ อาการมือและเท้าชักกระตุกได้ดี ที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แต่สตรีมีครรภ์ควรระวัง

ข้อมูลจากเดลินิวส์