วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อาหารเพื่อลดน้ำหนัก

การเลือกอาหารเพื่อลอน้ำหนักโดยปรับเปลื่ยนการบริโภคตามโซนสี

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รายชื่อผลไม้ต้านมะเร็ง

รายชื่อผลไม้ต่อไปนี้ หากเพื่อนๆทานทุกวัน สามารถต้านมะเร็งได้นะครับ

ผลไม้ต้านมะเร็ง




องุ่น, บลูเบอรี่, เก๋ากี้, มังคุด, ทับทิม, อโวคาโด, ส้ม/มะนาว, กล้วย, แก้วมังกร, ทุเรียนเทศ, แอปเปิ้ล, ลูกยอ,เสาวรส, สตอเบอรี่ และกีวี



ผลไม้ชนิดไหน หากเพื่อนๆไม่เคยลองทาน สามารถลองได้นะครับ เพราะนอกจากมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังช่วยลดโรคได้อีกด้วยนะครับ

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

มะขาม

มะขาม


ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Tamarindus indica  L.

ชื่อสามัญ :   Tamarind, Indian date

วงศ์ :   Leguminosae - Caesalpinioideae

ชื่ออื่น :  ขาม (ภาคใต้) ตะลูบ(ชาวบน-นครราชสีมา) ม่องโคล้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) อำเปียล (เขมร-สุรินทร์) หมากแกง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) ส่ามอเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์: ไม้ต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกต้นขรุขระและหนา สีน้ำตาลอ่อน ใบ เป็นใบประกอบ ใบเล็กออกตามกิ่งก้านใบเป็นคู่ ใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบมน ดอก ออกเป็นช่อเล็กๆ ตามปลายกิ่ง หนึ่งช่อมี 10-15 ดอก ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกสีเหลืองและมีจุดประสีแดงอยู่กลางดอก ผล เป็นฝักยาว รูปร่างยาวหรือโค้ง ยาว 3-20 ซม. ฝักอ่อนมีเปลือกสีเขียวอมเทา สีน้ำตาลเกรียม เนื้อในติดกับเปลือก เมื่อแก่ฝักเปลี่ยนเป็นเปลือกแข็งกรอบหักง่าย สีน้ำตาล เนื้อในกลายเป็นสีน้ำตาลหุ้มเมล็ด เนื้อมีรสเปรี้ยว และหวาน
ส่วนที่ใช้ :  ราก เปลือก ทั้งต้น แก่น ใบ เนื้อในฝัก ฝักดิบ เมล็ด เปลือกเมล็ด ดอกสด

สรรพคุณ :

ราก -  แก้ท้องร่วง สมานแผล รักษาเริม และงูสวัด

เปลือกต้น - แก้ไข้ ตัวร้อน

แก่น - กล่อมเสมหะ และโลหิต ขับโลหิต ขับเสมหะ รักษาฝีในมดลูก รักษาโรคบุรุษ เป็นยาชักมดลูกให้เข้าอู่

ใบสด (มีกรดเล็กน้อย) - เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในลำไส้ แก้ไอ แก้บิด รักษาหวัด ขับเสมหะ หยอดตารักษาเยื่อตาอักเสบ แก้ตามัว  ฟอกโลหิต ขับเหงื่อ ต้มผสมกับสมุนไพรอื่นๆ อาบหลังคลอดช่วยให้สะอาดขึ้น

เนื้อหุ้มเมล็ด - แก้อาการท้องผูก เป็นยาระบาย ยาถ่าย ขับเสมหะ แก้ไอ กระหายน้ำ เป็นยาสวนล้างท้อง

ฝักดิบ - ฟอกเลือด และลดความอ้วน เป็นยาระบายและลดอุณหภูมิในร่างกาย บรรเทาอาการไข้

เมล็ดในสีขาว - เป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือนตัวกลมในลำไส้ พยาธิเส้นด้าย

เปลือกเมล็ด - แก้ท้องร่วง แก้บิดลมป่วง สมานแผลที่ปาก ที่คอ ที่ลิ้น และตามร่างกาย รักษาแผลสด ถอนพิษและรักษาแผลที่ถูกไฟลวก รักษาแผลเบาหวาน

เนื้อในฝักแก่ (มะขามเปียก) - รับประทานจิ้มเกลือ แก้ไอ ขับเสมหะ

ดอกสด - เป็นยาลดความดันโลหิตสูง

วิธีและปริมาณที่ใช้ :

 เป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือน ตัวกลม ตัวเส้นด้าย ได้ผลดี
ใช้เมล็ดคั่วกะเทาะเปลือกออก แล้วเอาเนื้อในเมล็ดแช่น้ำเกลือจนนุ่ม รับประทานเนื้อทั้งหมด ครั้งละ 20-30 เมล็ด

เป็นยาระบาย ยาถ่าย
- ใช้เนื้อที่หุ้มเมล็ด (มะขามเปียก) แกะเมล็ดแล้วขนาด 2 หัวแม่มือ (15-30 กรัม) จิ้มเกลือรับประทาน แล้วดื่มน้ำตามมากๆ
- เอามะขามเปียกละลายน้ำอุ่นกับเกลือ ฉีดสวนแก้ท้องผูก

แก้ท้องร่วง
-เมล็ดคั่วให้เกรียม กะเทาะเปลือกรับประทาน
-เปลือกต้น ทั้งสดและแห้ง ประมาณ 1-2 กำมือ (15-30 กรัม) ต้มกับน้ำปูนใส หรือ น้ำ รับประทาน

รักษาแผล
เมล็ดกะเทาะเปลือก ต้ม นำมาล้างแผลและสมานแผลได้

แก้ไอและขับเสมหะ
ใช้เนื้อในฝักแก่ หรือมะขามเปียก จิ้มเกลือรับประทานพอควร

เป็นยาลดความดันสูง
ใช้ดอกสด ไม่จำกัดจำนวน ใช้แกงส้มหรือต้มกับปลาสลิดรับประทาน

ที่มา http://www.rspg.or.th/





มะขาม เป็นยาดีและเครื่องสำอางชั้นยอด


มะขาม หรือ Tamarind เป็นพืชพื้นบ้านไทยที่ส่วนใหญ่ใช้ปรุงอาหาร ยกเว้นมะขามหวานที่ทานสด แต่มะขามเปรี้ยวถูกนำมาใช้ประโยชน์มากกว่า เพราะความเปี้ยวนั่นเองที่ทำกับข้าวได้อร่อยได้รสชาติต่างจากน้ำมะนาว

ในมะขามอุดมด้วยวิตามินบี 2 แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และยังมีกรดผลไม้หลายชนิดเช่น กรดซิตริก กรดทาทาริค เป็นต้น ที่สำคัญมีวิตามินเอ วิตามินซีสูง มะขามนอกจากจะใช้ปรุงอาหารแล้ว ยังมีฤทธิ์เป็นยา คนที่เป็นหวัดนานๆ ไม่หายสักทีลองรับประทานมะขามดูสัก 2-3 ฝัก หรือทำน้ำมะขามดื่ม รับรองหายไข้ เพราะมีสรรพคุณลดอุณหภูมิในร่างกายได้ดี หวัดหายเป็นปลิดทิ้ง แถมยังทำให้ชุ่มคอชื่นใจ หายเจ็บคอ ช่วยขับเสมหะอีกต่างหาก เหมาะมากกับช่วงฤดูฝนเช่นนี้ นอกจากนี้มะขามยังเป็นยาระบายที่ดีอีกด้วย



มาถึงวันนี้ความลับอันทรงคุณค่าของมะขามเพิ่งถูกค้นพบและดึงออกมาเป็นจุดเด่นใหม่ คือมะขามอุดมด้วยสาร AHA (Alpha hydroxyl acids) คือกรดผลไม้ เหมือนที่มีในแอปเปิ้ล องุ่น กระทั่งในนมก็มี สรรพคุณของ AHA คือช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดลอกออกไปเร็วเผยผิวใหม่ที่สดใสกว่าเดิม ยิ่งในมะขามอุดมด้วยวิตามินซีมากก็จะช่วยบำรุงผิวด้วยอีกทางหนึ่ง คนไทยสมัยก่อนจึงนิยมนำน้ำมะขามเปียกคั้นแล้วมาทาใบหน้าทิ้งไว้สักพัก แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดก็จะได้ผิวหน้านุ่ม ใส ไร้สิว ปัจจุบันธุรกิจเครื่องสำอางที่กำลังเน้นไปที่การใช้สมุนไพรไทยเป็นจุดขาย จึงหันมาจับมะขามใส่หลอดแล้วจำหน่ายในรูปแบบของครีมล้างหน้า หรือครีมพอกหน้า บ้างก็ผสมไปกับขมิ้นชัน และน้ำผึงเพื่อเพิ่มสรรพคุณบำรุงผิว แต่ก็มีข้อควรระวังสำหรับคนที่ใช้มะขามบำรุงผิวหน้าคือระวัง เข้าตา กรดในมะขามทำให้แสบตาได้แบบไม่ลืมเลย สำหรับบางคนอาจจะแพ้สารในมะขามได้บ้าง โดยจะรู้สึกผิวแสบร้อนแบบนี้ก็ไม่ควรใช้
มะขามพืชไทยราคาถูก เปี่ยมสรรพคุณทรงคุณค่า ใช้ได้ทั้งกินทั้งทา สารพัดประโยชน์เช่นนี้ คงต้องรีบซื้อหามาติดบ้านไว้ หรือไปหามาปลูกสักต้นก็ไม่เลว

ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today

ประโยชน์ของน้ำมะพร้าวสด


วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

มะยมดีมีประโยชน์

คติความเชื่อ

  มะยมเป็นต้นไม้ที่ควรปลูกไว้ทางทิศตะวันตก (ประจิม)   เพื่อป้องกันความถ่อย ถ้อยความ และผีร้ายมิให้มากล้ำกราย ในบางตำราก็ว่า เป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม   ปลูกแล้วผู้คนจะได้นิยมเหมือนมีนะเมตตา มหานิยม

ชื่อพื้นเมือง
  ยม (ใต้) มะยม   (ทั่วไป)หมักยม , หมากยม (อุดรธานี, อีสาน)

ชื่อวิทยาศาสตร์
  Phyllanthus   acidus (Linn.) Skeels.

วงศ์
  EUPHORBIACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

  มะยมเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง   สูงประมาณ 3-10 เมตร ลำต้นตั้งตรงแตกกิ่งก้านสาขาบริเวณปลายยอด กิ่งก้านจะเปราะและแตกง่าย   เปลือกต้นขรุขระสีเทาปนน้ำตาล
  ใบ เป็นใบรวม   มีใบย่อยออกเรียงแบบสลับกันเป็นแถว แต่ละก้านมีใบย่อย 20-30 คู่ ใบรูปขอบขนานกลมหรือค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปลายใบแหลม   ฐานใบกลมหรือมน ขอบใบเรียบ ใบกว้าง 1.5-3.5 ซม. ยาว 2.5-7.5   ซม.
  ดอก ออกเป็นช่อตามกิ่ง   ดอกย่อยสีเหลืองอมน้ำตาลเรื่อ ๆ
  ผล อ่อนสีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง   เนื้อฉ่ำน้ำ เมล็ดรูปร่างกลม แข็ง สีน้ำตาลอ่อน 1 เมล็ด

การปลูก
  มะยมเป็นพันธุ์ไม้กลางแจ้ง   เจริญเติบโตได้ดีทั้งที่แดดจัด หรือในที่ร่มรำไร ปลูกขึ้นได้ดีในดินที่ร่วนซุย มีความชื้นพอเหมาะ   ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

ประโยชน์ทางยา
  ส่วนที่ใช้เป็นยา ราก เปลือกต้น ใบ ดอก ผล
  รสและสรรพคุณในตำรายาไทย
  ราก รสจืด สรรพคุณแก้โรคผิวหนัง แก้ผดผื่นคัน   ช่วยซับน้ำเหลืองให้แห้ง แก้ประดง ดับพิษเสมหะ โลหิต
  เปลือกต้น รสจืด สรรพคุณแก้ไข้ทับระดู   ระดูทับไข้ แก้เม็ดผดผื่นคัน
  ใบ รสจืด   ปรุงเป็นส่วนประกอบของยาเขียว สรรพคุณแก้ไข้ ดับพิษไข้ บำรุงประสาท ต้มร่วมกับใบหมากผู้หมากเมียและใบมะเฟืองอาบแก้ผื่นคัน   ไข้หัด เหือด สุกใส
  ดอก ใช้สด ต้มกรองเอาน้ำแก้โรคในตา ชำระน้ำในตา
  ผล รสเปรี้ยวสุขุม กัดเสมหะ แก้ไอ   บำรุงโลหิต ระบายท้อง
  ขนาดและวิธีใช้
  1. ใช้เป็นยาแก้ไข้ทับระดู ระดูทับไข้ ให้นำเปลือกต้น   มาต้มเอาน้ำดื่ม
  2. ใช้สำหรับล้างและชำระฝ้านัยน์ตา แก้โรคตา ให้นำดอกสด   ต้มกรองเอาน้ำล้าง
  3. กัดเสมหะ แก้ไอ บำรุงโลหิต รับประทานผลได้ทั้งดิบและสุด

ประโยชน์ทางอาหาร
  ส่วนที่ใช้เป็นผัก   ยอดอ่อน ใบอ่อน ผลมะยมแก่รับประทานเป็นผักได้
  การปรุงอาหาร ชาวไทยภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสานรู้จักรับประทานมะยมเป็นผัก   ชาวภาคกลางนิยมใช้ยอดอ่อนเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก ส้มตำ และนำมาชุบแป้งทอด รับประทานร่วมกับขนมจีนน้ำยา


ที่มา  http://www.gotoknow.org/posts/493429

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

เก๋ากี้

**โกจิเบอร์รี่" หรือที่เราคุ้นเคยเรียกกันว่า เก๋ากี้**

**สรรพคุณ**

1. ประกอบด้วยกรดอะมิโน 19 ชนิด (ปกติมี 20 ชนิด)
แต่มีกรดอะมิโนครบทั้ง 9 ชนิด

2. มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องกายในปริมาณน้อย รวม 21 ชนิด ที่สำคัญ
ได้แก่ สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ซิลีเนียม และ
เจอร์มาเนียม ฯลฯ

3. มีวิตามินซีสูงกว่าส้ม 500 เท่า (เป็นพืชที่มีวิตามินิซีสูงเป็นอันดับสอง
รองจาก คามู คามูเบอร์รี่)

4. มีวิตามิน บี1 บี2 บี6 และวิตามินอี

5. มีสารโพลี่แซคคาไรด์ 4 ชนิด : LBP-1, LBP-2, LBP-3, LBP-4 - ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุลดี
- ช่วยปรับความดันโลหิตให้ปกติ
- ช่วยให้น้ำตาลในเลือด และอินซูลินอยู่ในสภาวะสมดุล
- ช่วยลดน้ำหนัก โดยเสริมการเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานแทนไขมัน
- ช่วยฟื้นฟูสภาพเซลล์ที่ถูกทำลายจากสารเคมีหรือรังสีให้สู่ปกติได้เร็วขึ้น

6. มีสารเจอร์มาเนี่ยม Germanium : Ge ที่อยู่ในสภาพอินทรีย์ (organic)
ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง

7. มีสารซิแซนทิน(Zeaxanthin) มีสูงถึง162 มก./100 กรัมสูงกว่าสาหร่ายเกลียวทองประมาณ 5 เท่า
- ช่วยบำรุงสายตา และป้องกันแสงสีน้ำเงินที่ทำลายดวงตา
- ช่วยผู้มีอาการ ต้อลม ตาพร่า ตามัว ให้คืนสู่สภาพปกติ

8. เบต้า - ไซโตสเตอรอล (Beta - sitosterol)
- ช่วยลดคอเลสเตอรอลโดยการดูดซึมที่ลำไส้
- ช่วยลดอาการต่อมลูกหมากโต
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพน้ำอสุจิให้แข็งแรง

9. ไซเพอโรน (Cyperone) ช่วยให้หัวใจและความดันทำงานได้ปกติ

10. ไฟซาลิน (Physalin) ช่วยกำจัดโรคร้าย ลิวคีเมีย (Leukemia)

11. บีรเทน (Betaine) เป็นสารประกอบที่ให้ตับใช้ ผลิตโคลีน
ซึ่งเป็นสารประกอบที่
- ช่วยให้มีความจำดี
- ช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเจริญเติบโต
- ช่วยป้องกันโรคตับ

12. สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด
ในบรรดาผักและผลไม้อื่นๆ คือ มีค่า ORAC สูง 25,300 unite

ขอขอบคุณข้อมูลจาก siamnutra.igetweb

เก๋ากี้ (Chinese Wolfberry)

เก๋ากี้ เป็นผลของต้นเก๋ากี้ เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้รับประทาน
กันในหมู่ชาวจีน
ผลที่สุกแล้วจะมีสีแดงเหมือนเลือด จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "ฮ่วยกี้"
เป็นยาบำรุงชั้นดี ในอดีต เป็นผลไม้บรรณาการที่ใช้ถวายแด่ฮ่องเต้
เก๋ากี้ มีปลูกทั่วไปในประเทศจีน แต่ที่ปลูกในมณฑล หนิงเซี่ย กานซู่ เหอเป่ย ส่านซี
เก๋ากี้ที่ดีต้องมีเม็ดใหญ่ สีแดง เนื้อหนา อ่อนนิ่ม รสหวาน

*การเก็บรักษา**
ควรเก็บไว้ในที่แห้ง ระวังอย่าให้ชื้น มิฉะนั้นจะทำให้เสื่อมคุณภาพ หรือขึ้นรา

ส่วนที่ใช้ : ส่วนที่ใช้กันมากคือเมล็ด
สารสำคัญ : แคโรทีน, ไทอามีน, วิตามิน ซี เอ และบี 2, น้ำตาล, โปรตีน
สรรพคุณ : แก้ไอ วิงเวียนศีรษะ บำรุงไต เลือด ตับ และสายตา
ใน Compendium of Materia Medice ของจีน บันทึกไว้ว่า
 เก๋ากี้ บำรุงไต  บำรุงปอด บำรุงสายตา รักษาโรคตาบอดกลางคืน

**ตำรับยา**

**ปวดหลัง ปวดเอว**
เก๋ากี้ และ โต่วต๋ง จำนวนพอเหมาะ ต้มน้ำรับประทาน หรือใช้ปรุงอาหาร

**บำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย**
เก๋ากี้ ตังกุย โสมคน เส็กตี่ ปาเก็ก อย่างละพอเหมาะ ต้มน้ำ รับประทาน

**บำรุงประสาท กล่อมประสาท ทำให้หลับสบาย**
เม็ดเก๋ากี้ เนื้อลำไยแห้ง อย่างละ 1 ลิตร เติมน้ำ 10 ลิตร
ต้มจนเนื้อยาเปื่อย  กรองเอากากยาทิ้ง เคี่ยวต่อจนได้น้ำข้นๆ
รับประทานครั้งละ  2 – 3 ช้อนโต๊ะ วันละหลายๆครั้ง

**แก้อาการตามัว ตาบอดกลางคืน**
ดอกเก๊กฮวย ปาเก็ก และเก๋ากี้ จำนวนพอเหมาะ ต้มน้ำ รับประทาน














วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

ลูกเดือยต้านมะเร็ง





    ลูกเดือย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Coix lacryma-jobi วงศ์ Poaceae เป็นธัญพืชตระกูลเดียวกับข้าว เป็นพืชพื้นเมืองแท้ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมล็ดมีรูปร่างกลม ๆ รี ๆ สีขาว รสชาติออกมันเล็กน้อย มีคุณค่าทางอาหารสูง ให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมาก

ลูกเดือยตากแห้ง เมื่อปรุงอาหารแล้วจะมีรสหวานและมีฤทธิ์เย็นเล็กน้อย ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร ทำให้ฝีหนองหายเร็ว ลดไข้ได้ดี

ในหนังสือ สมุนไพร 91 ชนิด พิชิตโรค ชุด ตำรายาล้ำค่าของหมอโฮจุน ที่ยูเนสโกคัดเลือกให้เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก จากสำนักพิมพ์อินสปายร์ บันทึกไว้ว่า แพทย์พบว่า ลูกเดือยออกฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ และยังแก้อักเสบ ลดคอเลสเตอรอล บรรเทาอาการเจ็บปวดอื่น ๆ เช่น ปวดท้องคลอดได้ ลดอาการบวม แก้โรคเหน็บชา

วิธีบรรเทา โรคตับอักเสบเรื้อรัง โรคไตอักเสบรุนแรง ให้นำลูกเดือยมาบดเป็นผงหรือต้มกินวันละ 12-35 กรัม จะช่วยรักษาภาวะทุพโภชนาการได้ หากนำลูกเดือยบดเป็นผง 30-60 กรัม ไปต้มรวมกับข้าวต้ม 60 กรัม แล้วกินทั้งเช้าและเย็น จะช่วยรักษาอาการบวมน้ำในคนชรา อาการท้องร่วง ข้อต่ออักเสบ อาการมือและเท้าชักกระตุกได้ดี ที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แต่สตรีมีครรภ์ควรระวัง

ข้อมูลจากเดลินิวส์

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สตรอเบอร์รี่

6 เรื่องดี ๆ จากสตรอเบอร์รี่!


ใครวางแผนไปเที่ยวเชียงใหม่ยกมือขึ้น! อย่าลืมซื้อสตรอวเบอร์รี่มาฝากกันบ้างนะจ๊ะ เพราะเขาบอกว่าเจ้าผลไม้น่าเอ็นดูชนิดนี้มีประโยชน์มากมายเลยล่ะ

1.ดูแลสายตา


ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่อเราอายุมากขึ้น ดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายความแก่ชราจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอวเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติอีกด้วย

2.ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์


เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานนาน ๆ เข้า กล้ามเนื้อของเราก็มีแต่จะถดถอยของเหลว บริเวณข้อต่อกระดูก็จะเหือดแห้งลงไปเรื่อย ๆ และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา แต่อย่าห่วงไป เพราะเราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสรรพคุณล้างพิษของสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

3.กำราบโรคมะเร็ง


กินสตรอวเบอร์รี่ทุกวันสิคะเซลล์มะเร็ง และเนื้องอกต้องชิดซ้ายหลีกทางให้แก่สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี โฟเลต และแอนโธไชยานินส์ ที่มีอยู่มากมายในสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

4.ส่งเสริมการทำงานของสมอง


ยิ่งแก่ยิ่งขี้หลงขี้ลืม เพราะเนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมสภาพจากอนุมูลอิสระตัวร้าย ซึ่งสตรอวเบอร์รี่ช่วยได้ เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาท แถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

5.ลดความดันโลหิต


หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอวเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติค่ะ

6.ปราบโรคหัวใจ


ใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินบีบางชนิดที่พบได้ในสตรอวเบอร์รี่ จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

ผลไม้ตระกูลส้ม

   ไม่ ใช่เพียงแค่ "ส้ม" แต่คือ "ผลไม้ตระกูลส้ม" (Citrus) ซึ่งหมายถึงผลไม้อื่น ๆ อีกหลายชนิด เช่น มะนาว เลมอน มะกรูด ส้มโอ เกรปฟรุต ฯลฯ มาดูประโยชน์ที่เราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน

บำรุงผิว

ส้มเป็นผลไม้นางเอก เพราะพืชผลในครอบครัวส้มจะมีสารไฟโตนิวเทรียนต์มากมาย ที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงสารกลุ่มฟลาวาโนนส์ สารแอนโธไชยานินส์ สารโพลีฟีนอลส์ และวิตามินซี ที่ช่วยทำให้ผิวสวยกระจ่างใสค่ะ

เสริมสร้างกระดูก

เชื่อหรือไม่ว่าน้ำส้มสามารถให้แคลเซียม และวิตามินดีแก่ร่างกายได้ดีพอ ๆ กับนม และแคลเซียมจะไปเสริมสร้างกระดูก แต่ถ้าไม่มีวิตามินดี ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมจากอาหารได้ นอกจากนี้ น้ำส้มยังมีวิตามินซี ซึ่งจะช่วยเพิ่มกระบวนการดังกล่าวอีกด้วย แต่จำไว้ว่า กรดอะซีติกในผลไม้จำพวกนี้อาจทำลายสารเคลือบฟันได้ จึงไม่ควรแปรงฟันภายในหนึ่งชั่วโมงหลังจากดื่มน้ำผลไม้

ปกป้องหัวใจ
เปลือกของผลไม้ตระกูลส้มมีสารมหัศจรรย์อยู่มากมาย และหนึ่งในนั้นคือการ Polymethoxylated Flavones (PMFs) และสาร D-Limonene ซึ่งจะช่วยลดคอเลสเตอรอล ปรับระดับน้ำตาลในเลือด และกระตุ้นการกรองสารพิษของตับ นอกจากนี้ การศึกษายังชี้ว่า เม็ดสีในส้มเขียวหวานจะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) โดยไม่ส่งผลต่อคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) แล้วก็อย่าเอ็ดไปนะคะ ความจริงแล้วเปลือกส้มอาจลดคอเลสเตอรอลได้ดีกว่ายาปฏิชีวนะบางตัว ที่ขายกันตามท้องตลาดเสียอีก

ขับง่ายถ่ายคล่อง

ตำรับจีนมักจะเสิร์ฟเปลือกส้มคู่กับอาหาร เนื้อสัตว์ เพื่อย่อยอาหารที่มีไขมันสูง บางตำราแนะนำให้เริ่มวันใหม่ด้วยน้ำเลมอน 12 ออนซ์ ผสมกับน้ำกรองแล้วที่อุณหภูมิปกติ จะช่วยชะล้างของเสียในระบบย่อยอาหารและลำไส้ได้ เพราะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ

ดูแลสายตา

ผลไม้ตระกูลส้มอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยปกป้องแก้วตาจากโรคต้อกระจก และการศึกษายังพบว่าการบริโภควิตามินอีและซีในปริมาณมาก จะช่วยป้องกันโรคต้อกระจกได้ แม้แต่ในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้สูง

อารมณ์ดี๊-ดี

จะทานก็ได้ จะดมก็ดี เพราะส้มมีสารโฟเลต ซึ่งจะช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนซีโรโทนิน อันเป็นสารแห่งความสุข กลิ่นของผลไม้ครอบครัวนี้ก็สามารถทำให้เราเบิกบานได้เช่นกัน ลองแต้มน้ำมันหอมที่สกัดจากผลไม้เหล่านี้บริเวณท้ายทอยสิคะ รับรองสดชื่นแน่นอน!



ข้อมูลจาก : women.thaiza.com

แตงโม

ประโยชน์ของแตงโม

ทำให้สุขภาพแข็งแรง

แตงโมมีสารที่เรียกว่า lycopene ที่มีแอนตี้ออกซิเดนท์ และช่วยในการบำรุงหัวใจ รวมถึงมะเร็ง สารนี้มีอยู่มากในมะเขือเทศเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว แตงโมมีมากกว่าถึง 40 เปอร์เซ็นต์

วิตามินซี

แตงโมเสี้ยวใหญ่ๆ จะเต็มไปด้วยวิตามินซีที่จำเป็นต่อร่างกายของเรา

ป้องกันการติดเชื้อ

การดื่มน้ำแตงโมช่วยเพิ่มเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายใช้ในการสร้างวิตามินเอ และการมีวิตามินเอมากๆ ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้


แผลหายเร็ว

แตงโมเป็นผลไม้ที่มี citrulline อยู่มาก สารตัวนี้จะช่วยในการรักษาแผลได้เร็ว อย่าดื่มแต่น้ำแตงโม ให้กินเนื้อมันเข้าไปด้วย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นสีขาวอยู่ลึกลงไป แม้รสชาติจะไม่หวาน แต่มีประโยชน์

คลายเครียด

แตงโมเต็มไปด้วยโพแทสเซียม ที่จะช่วยควบคุมอัตราความดันโลหิต เรียกว่ากินแล้วจะอารมณ์ดี ยิ่งกินแบบเย็นๆ ยิ่งสบายใจ

ลดความอ้วน

ในแตงโมมีแคลอรี่แค่ 96 แคลอรี่เท่านั้น และการกินแตงโมที่ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำ ทำให้เราอิ่มได้เร็ว และไม่ต้องกินอาหารอื่นอีก

แตงโมแช่เย็นให้ความสดชื่นแก่ผู้รับประทานแต่อาจมีคุณค่าทางโภชนาการลดลงเมื่อเทียบกับแตงโมเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง :-

คณะนักวิจัยที่ห้องวิจัยปฏิบัติการทางการเกษตรในเมืองเลน รัฐโอคลาโฮมา ของกระทรวงเกษตรสหรัฐเผยในวารสารการเกษตรและเคมีอาหารว่า แตงโมเก็บที่อุณหภูมิห้องมีสารอาหารมากกว่าแตงโมแช่เย็นหรือแตงโมที่เพิ่งเก็บจากต้น พวกเขาศึกษาจากแตงโมที่เก็บไว้เป็นเวลา 14 วัน ณ อุณหภูมิที่แตกต่างกัน ได้แก่ 21 องศาเซลเซียส 13 องศาเซลเซียส และ 5 องศาเซลเซียส พบว่าแตงโมที่อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิห้องในอาคารติดเครื่องปรับอากาศมีสารอาหารมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีไลโคปีนและเบต้าแคโรทีนมากกว่าแตงโมที่เพิ่งเก็บจากต้นประมาณร้อยละ 40 และร้อยละ 50-139 ตามลำดับ

ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้ผักผลไม้มีสีแดง คาดว่าช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งได้บางชนิด ส่วนเบต้าแคโรทีนเป็นสารอาหารที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ งานวิจัยนี้ชี้ว่า แตงโมยังผลิตสารอาหารต่อเนื่องแม้ถูกเก็บมาจากต้นแล้ว กระบวนการนี้จะลดลงหากนำแตงโมไปเก็บในอุณหภูมิเย็น ปกติแล้วแตงโมจะมีอายุในการวางจำหน่ายประมาณ 14-21 วัน ณ อุณหภูมิ 13 องศาเซลเซียสหลังการเก็บเกี่ยว

ลำไย

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของลำไย


    ลำไย หรือก็คือ ผลไม้ลำไย นั่นเองค่ะ และคนส่วนใหญ่ก็ชอบที่นำลำไยมารับประทานกันค่อนข้างมากเลยทีเดียว และวันนี้เราก็นำ สรรพคุณของลำไยและประโยชน์ของลำไยมาฝากคุณ ๆ กันด้วยนะค่ะ แน่นอนว่านอกจากลำไยจะเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมแล้ว ประโยชน์ของลำไย ยังมีมากมายบางก็นำมาทำเป็นน้ำลำไยบ้างล่ะ ลำไยกระป๋องบ้างล่ะ ลำไยอบแห้งบ้างล่ะ และนอกจาก ประโยชน์ของลำไย แล้วเราก็ยังมี สรรพคุณของลำไย ที่จัดว่าเป็นสมุนไพรได้อีกด้วยเพราะช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้ค่ะ นั้นเรามาดูสรรพคุณของลำไยและประโยชน์ของลำไยกันเลยดีกว่าค่ะ


สรรพคุณ / ประโยชน์ของลำไย


ใบ : เป็นใบสด มีรสจืดและชุ่ม สุขุม เป็นยาแก้โรคมาลาเรีย ริดสีดวงทวาร ฝีหัวขาดและแก้ไข้หวัด โดยนำเอาต้มน้ำกิน

ดอก : ใช้ดอกสดหรือตากแห้งเก็บไว้ใช้ เป็นยาแก้โรคเกี่ยวกับหนองทั้งหลาย โดยใช้ใบสดประมาณ 5-30 กรัมต้มน้ำกิน

เมล็ด : ต้มหรือบดเป็นผงกินจะมีรสฝาด ใช้ภายนอกจะรักษากลากเกลื้อน แผลมีหนอง แก้ปวด สมานแผล ใช้ห้ามเลือด

รากหรือเปลือกราก : ต้มน้ำกินหรือเคี้ยวให้ข้นผสมกิน มีรสฝาด แก้สตรีตกขาวมากผิดปกติ ขับพยาธิเส้นด้าย

เปลือกผล : ใช้ที่แห้งนำมาต้มน้ำกิน แก้อาการวิงเวียนศีรษะและอ่อนเพลีย ทำให้สดชื่น จะมีรสชุ่มหรือใช้ทาภายนอกโดยเผาเป็นเถ้าหรือบดเป็นผงโรยแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

เนื้อหุ้มเมล็ด : นำมาต้มน้ำกินหรือแช่เหล้าเป็นยาบำรุงม้ามเลือดลมและหัวใจ บำรุงร่างกาย สงบประสาท แก้อ่อนเพลียจากการทำงานหนัก ลืมง่าย นอนไม่หลับ ประสาทอ่อนหรือจะบดเป็นผงผสมกับยาเม็ดกินก็ได้

Tips

1. โรคมาลาเรีย ใช้ใบสดกับปอขี้ตุ่นแห้ง 10-20 กรัมและน้ำ 2 แก้วผสมเหล้าอีก 1 แก้วต้มให้เหลือน้ำเพียง 1 แก้วกินก่อนมีอาการไข้ 2 ชั่วโมง
2. แผลเน่าเปื่อยและคัน ใช้เมล็ดเผาเป็นเถ้าแล้วทาตรงบริเวณที่เป็น
3. ปัสสาวะขัด ใช้เมล็ดมาทุบให้แตกแล้วต้มน้ำกิน แต่จะต้องลอกเอาเปลือกสีดำ ของเมล็ดออกก่อน
4. กลากเกลื้อน ใช้เมล็ดชุบน้ำส้มสายชูที่หมักจากข้าวถูทาตรงที่เป็น แต่ต้องลอกเอา เปลือกสีดำออกก่อน
5. แผลเรื้อรังและมีหนอง ใช้เมล็ดเผาเป็นเถ้า ผสมกับน้ำมันมะพร้าวทา
6. หกล้มเลือดออกหรือมีดบาด ใช้เมล็ดบดเป็นผงพอก ห้ามเลือดและจะช่วยแก้ปวด ด้วย แต่ต้องเอาเปลือกนอกสีดำออกก่อน

ข้อห้ามใช้

คนที่มีอาการเจ็บคอ หรือไอมีเสมหะหรือเป็นแผลอักเสบจนมีหนองไม่ควรกินเนื้อของผลลำไย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก chuankin ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

มะนาว

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะนาว


         มะนาวอีกหนึ่งพืชผักสมุนไพรไทยที่ไม่ได้มีแค่ประโยชน์ของมะนาวเท่านั้นแต่ยังมีอีกด้วย และวันนี้เราก็มาพูเรื่อง ประโยชน์ของมะนาว และ สรรพคุณของมะนาว เพื่อขยายความถึงความดีของสมุนไพรไทยชนิดนี้ให้ได้ฟังกันมากขึ้น ประโยชน์ของมะนาว นั้นเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ของคุณพ่อบ้านแม่บ้านกันอีกเช่นเคย โดยเฉพาะเมนูต้มยำกุ้งเรียกได้ว่าขาดมะนาวเสียไม่ได้เลยหรือจะเป็นเมนูอาหารจำพวกยำๆ ถ้าขาดมะนาวไปเมนูอาหารมื้อนี้คงไม่อร่อยเป็นแน่ค่ะ นอกจากนี้ สรรพคุณของมะนาว ก็ยังสามารถช่วยในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วยนั้นเรามาดู ประโยชน์ของมะนาว และ สรรพคุณของมะนาว กันเลยค่ะ

สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะนาว


ลักษณะทั่วไปของมะนาวเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กทรงพุ่ม ตัวใบรูปร่างกลมรี ขอบใบหยักเล็กน้อย ปลายและโคนใบมน ดอกเล็กสีขาวอมเหลือง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลกลมเปลือกบางเรียบ มีน้ำชุ่มมาก รสเปรี้ยว เปลือกผลมีน้ำมัน กลิ่นหอม รสขม สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด โดยเฉพาะดินร่วนซุยและระบายน้ำได้ดี ควรปลูกในฤดูฝนช่วงที่ปลูกใหม่ ๆ ต้องรดน้ำทุกวันและไม่ควรโดนแดดมาก

โดยมีความเชื่อตามตำราพรหมชาติฉบับหลวงกล่าวไว้ว่า มะนาวเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ในบริเวณบ้าน กำหนดปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (พายัพ) เพื่อผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านจะได้มีความสุขสวัสดี

มะนาว เป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค วิตามินซี ซึ่งได้จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาวมีวิตามินเอและซี รวมทั้งมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาว มีสรรพคุณทางยาคือ เปลือกผล มีรสขม ช่วยขับลม รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด

วิธีทำยา


นำเอาเปลือกของผลสดประมาณครึ่งผล คลึงหรือทุบเล็กน้อยพอให้น้ำมันออก ชงน้ำร้อนดื่มเวลามีอาการ

ส่วนน้ำมะนาว รักษาอาการไอและขับเสมหะ โดยใช้ผลสดคั้นน้ำจะได้น้ำมะนาวเข้มข้นใส่เกลือเล็กน้อยจิบบ่อย ๆ หรือจะทำเป็นน้ำมะนาวใส่เกลือและน้ำตาล ปรุงให้รสเข้มข้นพอควรดื่มบ่อย ๆ หรือนำน้ำมะนาวผสมดินสอพองใช้ทาบริเวณหัวโนจะทำให้เย็นและยุบลงเร็ว

สรรพคุณและประโยชน์ของน้ำมะนาวซึ่งมีคุณค่าทางโภชนาการเป็นที่รู้จักกันดีคือ มีวิตามินซีสูงมาก รักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ดี นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ด้านความงามโดยเอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้วนำมาทาบริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า จะช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี

สำหรับใบหน้าสามารถแก้สิวฝ้าได้ ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนองซึ่งมะนาวจะช่วยรักษาสิวให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อน ๆ จะทำให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วหลุดออกไปทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขนช่วยกำจัดเชื้อโรคและไขมันได้ด้วย การใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อย ๆ ยุบหายไปในที่สุดส่งผลให้ใบหน้าสวยใส

มะนาวจึงถือเป็นสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณทางยามากมาย ดังนั้นอย่าลืมหาซื้อมะนาวหรือปลูกเองติดบ้านไว้ใช้ประโยชน์เพื่อสุขภาพและความงามนอกเหนือจากไว้ปรุงรสอาหารนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์ ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

ประโยชน์จากมังคุด

มังคุด


การบริโภคมังคุด ทำให้เราได้บริโภคกากใยจากเนื้อของมังคุดด้วย ซึ่งจะช่วยในการขับถ่ายและยังได้สารอาหารวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ อีกหลายชนิด เช่น น้ำตาล กรดอินทรีย์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก

ที่มาิของมังคุด



มังคุด (อังกฤษ: Mangosteen) ชื่อวิทยาศาสตร์: Garcinia mangstana Linn. เป็นพันธุ์ไม้ไม่ผลัดใบเขตร้อนชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ที่หมู่เกาะซุนดาและหมู่เกาะโมลุกกะ แพร่กระจายพันธุ์ไปสู่หมู่เกาะอินดีสตะวันตกเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 24 แล้วจึงไปสู่ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส ปานามา เอกวาดอร์ ไปจนถึงฮาวาย ในประเทศไทยมีการปลูกมังคุดมานานแล้วเช่นกัน เพราะมีกล่าวถึงในพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ในสมัยรัชกาลที่ 1

มังคุดเป็นไม้ยืนต้น ลำต้นสูง 7-25 เมตร ใบเดี่ยวรูปรี ดอกออกเป็นคู่ที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ผลแก่เต็มที่มีสีม่วงแดง กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลืองติดอยู่จนเป็นผล ผลมีเปลือกนอกค่อนข้างแข็ง เนื้อในมีสีขาวฉ่ำน้ำ อาจมีเมล็ดอยู่ในเนื้อผลได้ ขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของผล จำนวนกลีบของเนื้อจะเท่ากับจำนวนกลีบดอกที่อยู่ด้านล่างของเปลือก ผลมังคุดมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเหมือนสตรอเบอรี่ที่ยังไม่สุกหรือส้มที่มีรสหวาน เมล็ดไม่สามารถใช้รับประทานได้ มังคุดเป็นผลไม้จากเอเชียที่ได้รับความนิยมมาก มังคุดได้รับขนานนามว่าเป็น "ราชินีของผลไม้" อาจเป็นเพราะด้วยลักษณะภายนอกของผลที่มีกลีบเลี้ยงติด อยู่ที่หัวขั้วของผลคล้ายมงกุฎของพระราชินีส่วนเนื้อในก็มีสีขาวสะอาด มีรสชาติที่แสนหวาน อร่อยอย่างยากที่จะหาผลไม้อื่นมาเทียบได้ ปัจจุบันมีการเพาะปลูกและขายบนเกาะบางเกาะในหมู่เกาะฮาวาย ต้นมังคุดต้องปลูกในสภาพอากาศอบอุ่น

สรรพคุณต่างๆ จากมังคุด
ประโยชน์จากมังคุด

•ผลของการศึกษาฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระโดยวิธี ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) ทำการเปรียบเทียบระหว่างน้ำผลไม้อื่นๆและมังคุด พบว่า มังคุดมีฤทธิ์ในการจับอนุมูลอิสระมากกว่า แครอท ราสเบอรรี่ บลูเบอรรี่ ทับทิม
•ผลจากฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารแซนโทน จึงป้องกันการเกิดออกซิเดชันของ LDL ซึ่งเป็นคลอเลสเตอรอลตัวร้าย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอีกทั้งยังลดการทำลายเซลล์ อันเป็นผลจากปฏิกิริยาลูกโซ่ จึงช่วยลดความเสี่ยงและชะลอการแก่ได้ด้วย
•มีผลต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งต่างๆรวมถึงการตายของเซลล์มะเร็งในการศึกษาระดับห้องปฎิบัติการ เช่น เซลล์มะเร็งเต้านม, เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว, เซลล์มะเร็งตับ, กระเพาะอาหาร และเซลล์มะเร็งปอด
•มีผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรียบางชนิด เช่น เชื้อวัณโรค, เชื้อ S. Enteritidis และเชื้อ HIV
•สามารถยับยั้งการหลั่งสารฮิสตามีน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันโรคภูมิแพ้
•สามารถยับยั้งการสังเคราะห์สารพลอสตาแกลนดินอีทู ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกระบวนการอักเสบต่างๆ เช่น การปวดอักเสบ กล้ามเนื้อและข้อ
•มีฤทธิ์ในการช่วยขยายตัวของหลอดเลือด ดังนั้นจึงมีประโยชน์ในการลดความดันโลหิต




ขอขอบคุณที่มา

วิกิพีเดีย

แอ๊ปเปิ้ล APPLE

แอ๊ปเปิ้ล APPLE


     เป็นผลไม้ยอดนิยมชนิดหนึ่งของโลก ต้นแอ๊ปเปิ้ลสูงประมาณ 5-12 เมตร ผลมีเปลือกสีแดง ชมพู เขียว และเหลืองตามสายพันธุ์ เนื้อในเป็นเนื้อทรายละเอียดสีขาวนวล

คุณค่าโภชนาการ เมื่อกินโดยไม่ปอกเปลือก จะมีพลังงาน 80 แคลอรี วิตามินบี 6 เท่ากับ 0.1 มิลลิกรัม วิตามินซี 7.9 มิลลิกรัม เหล็ก 0.2 มิลลิกรัม ทองแดง 0.1 มิลลิกรัม และโพแทสเซียม 158.7 มิลลิกรัม หากปอกเปลือกปริมาณสารสำคัญต่างๆ ก็จะลดลงไปจากที่กล่าวไว้

แอ๊ปเปิ้ลมีสารสำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ คือ
เพคติน มีกรด 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน นอกจากนั้นยังมีการกล่าวถึงสรรพคุณ บำรุงหัวใจ ลดคลอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อไวรัส

บทความในวารสารการแพทย์สหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2470 ยกให้แอ๊ปเปิ้ลเป็นผลไม้เหมาะสำหรับผู้ป่วยภาวะเลือดเป็นกรด ไขข้อรูมาติก เกาต์ ดีซ่าน และอื่นๆ

แอ๊ปเปิ้ลยังช่วยควบคุมน้ำหนัก เพราะมีแป้งและน้ำตาลถึง 75% ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลง ทั้งทำให้ไม่รู้สึกหงุดหงิดและอ่อนเพลียระหว่างรอเวลาอาหารมื้อใหญ่ แต่แอปเปิ้ลผลสดๆ เท่านั้นที่มีสรรพคุณนี้ การดื่มน้ำแอปเปิ้ลไม่ทำให้หายหิว แต่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มด้วย
กินแอ๊ปเปิ้ลวันละ 2-3 ผลช่วยลดปริมาณคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด แต่จะได้ผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แอ๊ปเปิ้ลลดคลอเลสเตอรอลในผู้หญิงได้ดีกว่าผู้ชาย

คณะวิจัยมหาวิทยาลัยพอลซาบาทิเอร์ เมืองตูลูส ฝรั่งเศส ทดลองในอาสาสมัครวัยกลางคนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย 30 คน โดยให้กินอาหารเหมือนเดิมทุกประการ แต่กินแอปเปิ้ลด้วยวันละ 3 ผล ทุกวัน เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าอาสาสมัคร 24 คน มีปริมาณคลอเลสเตอรอลในเลือดลดลง บางคนลดมากกว่า 10% และเมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันแยกคลอเลสเตอรอลออกมาแล้ว เพคตินจะคอยดักจับคลอเลสเตอรอลเหล่านั้นนำไปทิ้งก่อนจะถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกาย เป็นการขจัดคลอเรสเตอรอลออกไป

แอ๊ปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด ปกติเมื่อกินอาหารเข้าไป อาหารแต่ละชนิดจะย่อยสลายและดูดซึมผ่านผนังกระเพาะลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะเพิ่มช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอาหารนั้น เช่น ถ้ากินน้ำผึ้ง น้ำตาลในเลือดจะขึ้นฮวบฮาบทันที แต่สำหรับแอ๊ปเปิ้ล ถึงจะมีน้ำตาลธรรมชาติในเนื้อแอปเปิ้ลมาก แต่ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เท่านั้น และยังพบว่าคนที่กินอาหารที่มีไฟเบอร์มากๆ มีโอกาสเกิดเบาหวานต่ำกว่าคนที่กินน้อย และสำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไฟเบอร์จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วย แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูงมาก
มาทำความรู้จักกับประโยชน์ของแอ๊ปเปิ้ล โดยแบ่งตามสีดังนี้
1. แอ๊ปเปิ้ลแดง มีจุดเด่นที่ดีต่อสุขภาพคือมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมี
อิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วย

2. แอ๊ปเปิ้ลสีชมพู มีสารฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาแอ๊ปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

3. แอ๊ปเปิ้ลสีเขียว มีรสเปรี้ยวอมหวาน ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะการกิน
แอ๊ปเปิ้ลสีเขียวนอกจากจะได้รับน้ำตาลน้อยแล้ว ยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิว
แข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี


4. แอ๊ปเปิ้ลสีเหลือง มีประโยชน์ต่างจากสีอื่นๆ โดยมีสารเควอร์ซิตินที่ช่วยลดความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก


Subscribe to: Posts (Atom)

ลิ้นจี่เป็นอาหารและยา

ลิ้นจี่เป็นอาหารและยา



    ช่วงนี้เราเริ่มเห็นผลลิ้นจี่ทยอยสุก แต่สียังไม่เข้มจัด การเก็บเกี่ยว ลิ้นจี่มักเริ่มในเดือนกรกฎาคมถึงพฤศจิกายน เมื่อลิ้นจี่ออกสู่ท้องตลาด ลิ้นจี่จะเป็นของฝากที่มีคุณค่าที่เหมาะสำหรับผู้รับ โดยเฉพาะหากเราได้รู้จักลิ้นจี่ดีขึ้น ลิ้นจี่ Litchi chinensis Sonn. Family SAPINDACEAE เป็นไม้ผลยืนต้น เป็นพืชที่เขียวตลอดปี มีหลายพันธุ์ ที่นิยมจำหน่าย ได้แก่ กิมเจ็ง ฮงฮวยและ จักรพรรดิ ปลูกได้หลายภาคของไทย เนื้อลิ้นจี่ มีรสชาติหวานหอมอร่อย เป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานและแต่งรสชาติในอาหารหวานคาว และผสมในเครื่องดื่ม เป็นผลไม้ที่นิยมในประเทศจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดถึงเอเชียใต้ และอินเดีย

ลิ้นจี่มีต้นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้ อีกทั้งปลูกได้ในไทย เวียตนาม ญี่ปุ่น บังคลาเทศ และอินเดียตอนเหนือ อเมริกาใต้และสหรัฐอเมริกา (ฮาวาย และฟลอลิดา) ประเทศจีน บันทึกการใช้ผลไม้นี้ มาตั้งแต่ 2000 ปี ก่อนคริสตกาล ลิ้นจี่นั้นเป็นผลไม้ที่ให้ผลผลิตคุ้มค่ากับการลงทุนจึงถือว่าเป็นผลไม้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ที่สามารถนำผลผลิตที่ได้มาจำหน่ายในรูปของผลไม้สดและผลไม้แปรรูป เช่นการทำลิ้นจี่กระป๋อง ลิ้นจี่อบแห้ง แต่รสชาติจะไม่เหมือนลิ้นจี่สด เพราะความหอมได้ถูกทำลายไปในขั้นตอนการผลิต ปัจจุบันนี้ ลิ้นจี่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีความหลากหลายขึ้นเรื่อยๆจากสายพันธุ์ดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว
เนื้อลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน และเกลือแร่ เช่น วิตามิน บี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซีน วิตามินเอ ซี วิตามินบี 6 วิตามินอี โปแตสเซี่ยม ทองแดง สังกะสี ฟอสฟอรัส ซีลีเนียม โฟเลต และมีเส้นใยอาหารสูง นอกจากนี้มีกรดอะมิโนที่เป็นโครงสร้างของโปรตีนได้แก่ ไทโรซีน แอสปาราจีน อะลานีน ทรีโอนีน วาลีน และสารประกอบไกลซีน น้ำมันจากเมล็ดลิ้นจี่มีสารประกอบ เป็นกรดไขมันที่สำคัญเช่น ปาล์มมิติก 12% โอลิอิก 27% และไลโนเลอิค 11% ส่วนเปลือกผลมีสารประกอบประเภท ไซยานิดิน- 3 -กลูโคไซด์ และมัลวิดิน - 3 - อะเซทิล – กลูโคไซด์

สรรพคุณทางยา ตามที่ใช้ในประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ นับมาแต่โบราณ เนื้อในผล กินเป็นยาบำรุง แก้อาการไอเรื้อรัง แก้อาการคัดจมูก รักษาอาการท้องเดิน ลดกรดในกระ-เพาะอาหาร และบรรเทาอาการไม่ปกติของระบบทางเดินอาหาร
ในประเทศจีนใช้เปลือกผลลิ้นจี่ทำเป็นชา ใช้ชงเพื่อบรรเทาอาการหวัด แก้การติดเชื้อในลำคอ อาการท้องเสียอย่างอ่อน และโรคจากการติดเชื้อไวรัส ตำรายาจีนกล่าวเฉพาะเมล็ดลิ้นจี่ ว่ามีรสหวาน ขมเล็กน้อย สรรพคุณอุ่น ทำให้พลังชี่ขับเคลื่อน ลดอาการปวด ใช้กรณีปวดท้อง ปวดไส้เลื่อน ปวดบวมของอัณฑะ ใช้ขนาด 5-10 กรัม โดยมักผสมกับสมุนไพรอื่นอีก หนึ่งหรือสองชนิด เมล็ดลิ้นจี่ ที่แห้ง ควรนำมาบด คั่วให้แห้งโดยผสมด้วยน้ำเกลือ แล้วจึงเติมน้ำลงไปต้ม น้ำดื่ม หรือทำเป็นผง รับประทานหรือใช้ ผงยาพอกบริเวณมีอาการปวดบวม รากลิ้นจี่หรือเปลือกต้นใช้แก้อาการติดเชื้อ ไวรัส อีสุกอีใส และเพิ่มความสามารถระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

สำหรับ งานวิจัยซึ่ง ยังต้องการพิสูจน์ซ้ำเพื่อให้ได้ผลยืนยัน พบว่า สารสกัดเมล็ด ด้วยน้ำขนาด 0.6 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ให้แก่ผู้ที่เป็นพาหะโรคไวรัสตับชนิด บี ใช้ได้ผลดีในการยับยั้งเอ็นไซม์ตับที่สูงขึ้น

งานวิจัยเปลือก ของผลลิ้นจี่มีสารกลุ่มฟลาโวนอลที่สำคัญคือ โพรไซยาไนดินบี 4 ไพรไซยา- ไนดินบี 2 และอีพิคาเทชิน ส่วนที่สำคัญคือ ไซยาไนดิน - 3 - รูตินโนไซด์ ไซยาไนดิน- 3 กลูโคไซด์ เควอเซทิน – 3 - รูติโนไซด์ และเควอเซทิน - 3 - กลูโคไซด์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง และสารสกัดเปลือกยัง มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์ มะเร็งเต้านม ทั้งในห้องทดลองและในสัตว์ทดลอง โดยยับยั้งการขยายจำนวนเซลล์ การควบคุมการสื่อสารระหว่างเซลล์มะเร็ง และเหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็ง

รายงานวิจัยที่ทำในประเทศจีนอื่นๆยังพบว่า สารสกัดลิ้นจี่ลดขนาดเนื้องอกในสัตว์ทดลอง แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นสารสกัดส่วนใดของลิ้นจี่ สำหรับงานวิจัย นักวิทยาศาสตร์ของไทย พบว่าสารสกัดผลลิ้นจี่มีฤทธิ์ในการปกป้องตับ ในหนูที่เหนี่ยวนำให้ได้รับสารพิษ และเป็นโรคตับ

ผลการใช้ลิ้นจี่และผลวิจัยจากสารสกัดลิ้นจี่ แสดง ศักยภาพของลิ้นจี่ ไม่เพียงแต่มีรสอร่อย แต่ยังมากด้วยคุณค่าทางยา อย่างไรก็ดี เนื้อผลลิ้นจี่ ยังมีสารประกอบที่พบในการวิจัยและคาดว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิด อาการ “ ร้อนใน ” ได้ การรับประทานลิ้นจี่มากเกินไปอาจเกิดอาการดังกล่าวได้ ควรรับประทานอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะอาหารรสเย็น เพื่อให้เกิดความสมดุลและแก้อาการดังกล่าว


: บทความ : รศ.ดร.ภญ.พาณี ศิริสะอาด
: ภาพ : สุภฎารัตน์ สุธีพรวิโรจน์

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ผักชีลาว

ผักชีลาว


ชื่อวิทยาศาสตร์  Anethumgraveolens Linn.

วงศ์   Umbelliferae

ชื่ออื่น   ผักชี , เทียนข้าวเปลือก ,เทียนตาตั๊กแตน ,ผักชีตั๊กแตน, ผักชีเทียน , ผักชีเมือง,สามร้อยยอด

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นพืชล้มลุก   ลักษณะลำต้นเขียว แตกกิ่งเล็กน้อย บางพันธุ์แตกกอ  ลักษณะใบเป็นใบประกอบแบบขนนกแตกฝอยสีเขียว  ใบออกเรียงสลับกันกาบใบหุ้มนิ่มไม่แข็ง  ลักษณะดอกมีขนาดเล็กเป็นกระจุกสีเหลืองออกเป็นช่อ  เมล็ดผลเป็นสีเขียวเมื่อแก่เป็นสีน้ำตาลออกเหลือง  มีกลิ่นหอมฉุนเฉพาะขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และเหง้าในพันธุ์ที่แตกกอ……ขึ้นได้ดีในดินร่วนที่มีอินทรีย์วัตถุและมีความชื้นจะทำให้ต้นอวบสูง หรือแตกกอได้ดี…..

สรรพคุณทางสมุนไพร


ผักชีลาว แก้อาการท้องผูก  ท้องอืด ท้องเฟ้อ  ขับลม แก้ปัสสาวะขัด  ลดความดันโลหิตสูง ขยายหลอดเลือดและกระตุ้นการหายใจ แก้หอบหืด  และช่วยกระตุ้นให้มีน้ำนมในหญิงให้นมบุตรด้วย  ทั้งยังช่วยแก้วิงเวียน อาเจียน เป็นลม ขับเหงื่อ
ประโยชน์ของผักชีลาวผักชีลาว ยังมีสรรพคุณทางยามากมายที่ช่วยเพิ่มการทำงานของกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหารที่รับประทาน แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ นอกจากนี้ยังมีส่วนชวยลดความดันโลหิต ช่วยขยายหลอดเลือดและช่วยกระตุ้นการหายใจได้อีกด้วย สำหรับประโยชน์เต็มๆ
1.    มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมาก ช่วยในการชะลอวัย
2.    ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับตาต่างๆ (เพราะมีวิตามินเอสูงมาก)
3.    ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง (มีแคลเซียมสูง)
4.    ใช้เป็นยาบำรุงกำลังชั่วคราว (ผลแก่)
5.    ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย
6.    ช่วยลดความดันโลหิตสูง
7.    ช่วยยับยั้งหรือช่วยชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง (มีสารต่อต้านมะเร็ง)
8.    ผักชีลาว ประโยชน์ช่วยรักษาโรคเบาหวาน (สารเบต้าแคโรทีน)
9.    ช่วยขยายหลอดเลือด
10. ช่วยบำรุงปอด (ผล)
11. ช่วยขับเหงื่อ (ทั้งต้น)
12. ช่วยกระตุ้นการหายใจ
13. แก้หอบหืด (ผล)
14. ช่วยแก้อาการไอ (ผล)
15. ช่วยแก้อาการสะอึก (ผล)
16. สรรพคุณของผักชีลาว ช่วยเพิ่มปริมาณของน้ำนมสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตร (ใบ)
17. ช่วยลดอาการโคลิค (Baby Colic) หรืออาการ "เด็กร้องร้อยวัน" ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในเด็กแรกเกิด (ใบ)
18. ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เป็นลม (ผล)
19. สรรพคุณผักชีลาว ช่วยส่งเสริมการทำงานของกระเพาะอาหาร (ใบ)
20. ช่วยแก้อาการปวดท้อง ด้วยการใช้ผลแห้งนำมาบดให้เป็นผงแล้วชงกับน้ำดื่มวันละ 4 แก้ว (ผลแก่)
21. ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ด้วยการใช้ผลแห้งนำมาบดให้เป็นผงแล้วชงกับน้ำดื่มวันละ 4 แก้ว หรือจะใช้ต้นสดนำมาผสมกับนมให้เด็กอ่อนดื่มแก้อาการก็ได้เช่นกัน (ผลแก่)
22. แก้อาการอึดอัดแน่นท้อง ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 50 กรัม นำมาเคี่ยวกับน้ำจนข้นแล้วรับประทาน (ต้นสด)
23. ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้ผลแห้งนำมาบดให้เป็นผงแล้วชงกับน้ำดื่มวันละ 4 แก้ว (ผลแก่)
24. ผักชีลาว สรรพคุณช่วยแก้อาการท้องผูก ด้วยการใช้ใบสดหรือยอดอ่อนนำมาต้มกินเป็นอาหาร (ใบ)
25. แก้อาการปัสสาวะขัด ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 50 กรัมนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นชา (ใบ)
26. ช่วยรักษาไส้ติ่งอักเสบ ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 60 กรัมนำมาต้มกับน้ำกิน (ต้นสด)
27. ช่วยรักษาฝีเนื้อร้าย ด้วยการใบสดนำมาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็นฝีวันละ 2 ครั้ง (ใบ)
28. ช่วยแก้อาการบวม (ทั้งต้น)
29. ประโยชน์ผักชีลาว ช่วยแก้เหน็บชา (ทั้งต้น)
30. ช่วยทำให้ง่วงนอน (ผล)
31. ผลหรือเมล็ดมีน้ำมันหอมระเหย นำมาผลิตใช้ในอุตสาหรกรรมอาหาร อุสาหกรรมเครื่องสำอาง เช่น สบู่ โลชั่นบำรุงผิว เป็นต้น (ผล)
32. ใบ นิยมนำมาใส่แกงอ่อม แกงหน่อไม้ ห่อหมก น้ำพริกปล้าร้า ผักชีลาวผัดไข่ ยอดของใบใช้รับประทานกับลาบ และยังช่วยชูรสชาติอาหารอีกด้วย (ใบ)
33. ผลนิยมนำมาบดโรยบนมนัฝรั่งบดหรือสลัดผักเพื่อช่วยเพิ่มรสชาติของอาหาร (ผล)
34. ประโยชน์ของผักชีลาว ใบสดและแห้งนิยมนำมาโรยบนอาหารประเภทปลาเพื่อช่วยดับกลิ่นคาว (ใบ)
35. น้ำมันผักชีลาวนำมาใช้แต่งกลิ่นผักดอง สูต น้ำซอส ของหวาน และเครื่องดื่มรวมไปถึงเหล้าด้วย (น้ำมันผักชีลาว)

แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, สำนักงานกองทุนสนับสนันการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

มะระขี้นก

มะระขี้นก

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Momordica charantia  L.
ชื่อสามัญ :   Bitter Cucumber, Balsum Pear
วงศ์ :  Cucurbitaceae
ชื่ออื่น :  ผักไห่ มะไห่ มะนอย มะห่วย ผักไซ (เหนือ) สุพะซู สุพะเด (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) มะร้อยรู (กลาง) ผักเหย (สงขลา) ผักไห (นครศรีธรรมราช) ระ (ใต้) ผักสะไล ผักไส่ (อีสาน) โกควยเกี๋ยะ โควกวย (จีน) มะระเล็ก มะระขี้นก (ทั่วไป)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
เป็นไม้เลื้อยพันต้นไม้อื่น มีมือเกาะ ลำต้นเป็นเหลี่ยมมีขนปกคลุม ใบเดี่ยว ออกสลับลักษณะคล้ายใบแตงโมแต่เล็กกว่า มีสีเขียวทั้งใบ ขอบใบหยัก เว้าลึก มี 5-7 หยัก ปลายใบแหลม ออกดอกเดี่ยวตามง่ามใบ สีเหลืองอ่อน มี 5 กลีบ เกสรมีสีเหลืองแก่ถึงส้ม กลีบดอกบาง ช้ำง่าย ผลเดี่ยว รูปกระสวย ผิวขรุขระ มีปุ่มยื่นออกมา ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองถึงส้ม ผลแก่แตกอ้าออก เมล็ดสุกมีสีแดงสด รูปร่างกลมแบน
ส่วนที่ใช้ : ราก เถา ใบ ดอก ผลและเมล็ด ใช้สดหรือตากแห้งเก็บไว้ใช้ ผลอาจเก็บมาหั่นเป็นท่อนๆ ตากแห้งเก็บไว้ใช้
ลักษณะยาแห้ง : เนื้อผลแห้งมีลักษณะเป็นท่อนยาวกลม เนื้อหนาประมาณ 2-8 มม. ยาว 3-15 ซม. กว้าง 0.4-2 ซม. ทั้งแผ่นมีรอยย่นขรุขระ ผิวเปลือกสีเทาออกน้ำตาล ระหว่างกลางอาจมีเมล็ด หรือรอยของเมล็ดที่ร่วงไปแล้ว เนื้อแข็งหักง่าย รสขมเล็กน้อย ยาที่ดีควรมีผิวนอกสีเขียว เนื้อในสีขาว เป็นแผ่นบางมีเมล็ดติดมาน้อย
สรรพคุณ :
ผลแห้ง - รักษาโรคหิด
ผล - รสขม เย็นจัด ใช้แก้ร้อน ร้อนในกระหายน้ำทำให้ตาสว่าง แก้บิด ตาบวมแดง แผลบวมเป็นหนอง ฝีอักเสบ
เมล็ด - รสขม ชุ่ม ไม่มีพิษ แก้วัวถูกพิษใช้คั้นเอาน้ำให้กิน เป็นยากระตุ้นความรู้สึกทางเพศ เพิ่มพูนลมปราณ บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง
ใบ - แก้โรคกระเพาะ บิด แผลฝีบวมอักเสบ ขับพยาธิ
ดอก - รสขม เย็นจัด ใช้แก้บิด
ราก - รสขม เย็นจัด ใช้แก้ร้อน แก้พิษ บิดถ่ายเป็นเลือด แผลฝีบวมอักเสบ และปวดฟัน
เถา - รสขม เย็นจัด ใช้แก้ร้อน แก้พิษ บิดฝีอักเสบ ปวดฟัน
วิธีและปริมาณที่ใช้
ผลสด - ต้มรับประทาน ครั้งละ 6-15 กรัม หรือผิงไฟให้แห้ง บดเป็นผงรับประทาน ใช้ภายนอก ตำคั้นเอาน้ำทาหรือพอก
เมล็ดแห้ง - 3 กรัม ต้มน้ำดื่ม
ใบสด - 30-60 กรัม ต้มน้ำดื่ม หรือใบแห้งบดเป็นผงรับประทาน ใช้ภายนอกต้มเอาน้ำชะล้าง กอก หรือคั้นเอาน้ำทา
รากสด - 30-60 กรัม ต้มน้ำดื่ม ใช้ภายนอก ต้มเอาน้ำชะล้าง
เถาแห้ง - 3-12 กรัม ต้มน้ำดื่ม ใช้ภายนอก ต้มเอาน้ำชะล้าง หรือตำพอก
ข้อห้ามใช้ : พวกที่ม้ามเย็นพร่อง กระเพาะเย็นพร่อง เมื่อรับประทานเข้าไปจะอาเขียน ถ่ายท้องปวดท้อง
ตำรับยา
แก้ไข้ที่เกิดจากกระทบความร้อน
ใช้ผลสด 1 ผล ควักไส้ในออกใส่ใบชาเข้าไปแล้วประกบกันน้ำไปตากแห้งในที่ร่ม รับประทานครั้งละ 6-10 กรัม โดยต้มน้ำดื่มหรือชงน้ำดื่มต่างชาก็ได้
แก้ร้อนในกระหายน้ำ
ใช้ผลสด 1 ผล ขูดไส้ในออก หั่นฝอยต้มน้ำดื่ม
แก้บิด ใช้น้ำคั้นจากผลสด 1 แก้ว ผสมน้ำดื่ม
- แก้บิดเฉียบพลัน ใช้ดอกสด 20 ดอก ตำคั้นเอาน้ำมาผสมน้ำผึ้งพอสมควรดื่ม บิดถ่ายเป็นเลือด ก็เพิ่มข้าวแดงเมืองจีน (อั่งคัก Monascus pur-pureus, Went.) อีก 2-3 กรัม บิดมูกให้เพิ่มอิ๊ชั่ว (ยาสำเร็จรูปชนิดหนึ่ง) 10 กรัม ผสมน้ำสุกรับประทาน
- แก้บิดปวดท้อง ถ่ายเป็นเมือกๆ ใช้รากสด 60 กรัม น้ำตาลกรวด 60 กรัม ต้มน้ำดื่ม ถ่ายเป็นเลือด ใช้รากสด 120 กรัม ต้มน้ำดื่ม
- แก้บิดถ่ายเป็นมูกเลือดหรือเลือด ใช้เถาสด 1 กำมือ แก้บิดมูก ใส่เหล้าต้มดื่ม แก้บิดเลือด ให้ต้มน้ำดื่ม
แก้แผลบวม  ใช้ผลสดตำพอก
แก้ปวดฝี  ใช้ใบแห้ง บดเป็นผงชงเหล้าดื่มแก้ฝีบวมปวดอักเสบ ใช้ใบสดตำคั้นเอาน้ำทาบริเวณที่เป็นหรือใช้รากแห้งบดเป็นผงผสมน้ำพอก
แผลสุนัขกัด ใช้ใบสดตำพอก
แก้ปวดฟัน  ใช้รากสดตำพอก
ขับพยาธิ  ใช้ใบสด 120 กรัม ตำคั้นเอาน้ำดื่ม นอกจากนี้ยังใช้เมล็ด 2-3 เมล็ด รับประทานขับพยาธิตัวกลม
แก้คัน แก้หิดและโรคผิวหนังต่างๆ  ใช้ผลแห้งบดเป็นผง ใช้โรยแผลแก้คันหรือทำเป็นขี้ผึ้ง ใช้ทาแก้หิดและโรคผิวหนังต่างๆ
สารเคมีที่พบ
ผล  มี Charanthin (b - Sitosterol b - D - glucoside กับ 5,25 stigmastadien 3b - ol -b - D - Glucoside), Serotonin และ Amino acids เช่น Glutamic acid, Alanine,  b - Alanine Phenylalanine, Proline,  a - Aminobutyric acid, Citrulline,  Galacturonic acid
เมล็ด มีความชื่น 8.6%  เถ้า 21.8% Cellulose 19.5%  เถ้าที่ละลายน้ำ 16.4% ไขมัน 31.0 % (ประกอบด้วย Butyric acid 1.8%  Palmitic acid 2.8%, Stearic acid 21.7%  Oleic acid 30%,  a - Elaeostearic acid 43.7%, Momordicine, Protein
ใบสด มี Momordicine

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก www.rspg.or.th

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ลูกเดือย ธัญพืชสำหรับคนหลับยาก

ลูกเดือย มีสารอาหารมากมายที่คุณคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 1 วิตามินเอ โพแทสเซียม โปรตีนคุณภาพสูงเทียบเท่าโปรตีนที่ได้จากข้าวโอ๊ต ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส แคลเซียม ใยอาหาร และกรดอะมิโน ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น เพราะกรดอะมิโนตัวนี้จะสามารถเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์สมองหลั่งสารที่ทำให้นอน หลับ สมองก็จะพักการทำงานชั่วคราว หลังจากที่ทำงานมาอย่างหนักตลอดทั้งวัน ดังนั้นสำหรับผู้ที่เป็นโรคนอนไม่หลับหรือหลับยาก ลองดื่มน้ำเต้าหู้อุ่นๆ ผสมลูกเดือยก่อนนอนก็น่าจะช่วยให้หลับง่ายขึ้นได้


ที่มา  http://th.openrice.com/

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ถั่วสุดยอดคุณประโยชน์

"ถั่วแดง"

บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท บำบัด อาการเหน็บชา อาการใจสั่น อาการ ปวดประจำเดือน ผิดปกติ ช่วยขับพิษ ขับของเหลวในร่างกายบรรเทาอาการปวดตามข้อต่อกระดูก

"ถั่วเหลือง"

บำรุงม้าม ขับร้อน ถอนพิษ ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูก ป้องกันการขาดแคลเซียมในกระดูก บำรุงระบบประสาทในสมองเพิ่มความทรงจำ ลดไขมันและ คอเรสเตอรอลในร่างกาย

"ถั่วดำ"

บำรุงไต บำรุงเลือด บำรุงสายตา ขจัดพิษขับลมและขับของเหลวในร่างกาย แก้ร้อนในและ ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

"ถั่วลันเตา"

ช่วยขับสารพิษ ขับของเหลวในร่างกายระบบขับถ่ายและลดความดันโลหิต

"ถั่วลิสง" บ

บำรุงปอด กระเพาะอาหาร บำรุงสมอง เสริมความจำ และลดความเสี่ยงต่อการ เป็นหลอดเลือดหัวใจ ตลอดจนช่วยในการเผาผลาญไขมัน


วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556

น้ำมะนาวโซดา

มะนาว+โซดา ฆ่าเซลมะเร็งได้

จะ + น้ำผึ้ง(แท้) ก็ยิ่งอร่อยได้อีก
เห็นว่าหลายๆคน หลายๆครอบครัวที่ ต้องเสียชีวิตเนื่องจากมะเร็งในแต่ละปีกันเยอะมาก และโอกาสที่จะรักษาหายก็ยาก พอดีจารย์มีโอกาสได้ เจอข้อมูลนี้มา ลองพิจารณาดูนะครับ หรือรู้แล้วจะบอกต่อเอาบุญเป็นธรรมทาน แสดงออกถึงความรักความห่วงใยและเป็นกำลังใจให้กับท่านที่เป็นมะเร็งทุกท่านด้วย ก็จะเป็นบุญเป็นกุศลเป็นความดีอีกทางหนึ่งได้ครับ ด้วยรักและห่วงใย : จารย์ตรัย
.......................................


มะนาว+โซดา ?
มะนาว เลือกลูกเขียวๆ ใช้จำนวน 2ลูก + โซดา 1ขวด

สรรพคุณ สามารถ ฆ่าเซลมะเร็งได้ผลกว่าการ คลีโมฯ 10,000เท่า อ่านว่า หนึ่งหมื่นเท่า .....

วิธีกิน กินเช้า เย็น หรือ เช้า กลางวัน และ เย็น ก็ได้
การกินมะนาว+โซดา
ไม่มีผลเสียอะไรต่อร่างกายทั้งสิ้น การคลีโมฯ ยังมีผลทำให้่เซลดีๆของร่างกายต้องตายไปด้วย แต่การใช้ น้ำมะนาว+โซดา จะฆ่าเซลมะเร็งพวกนี้ได้ 100%

แล้วทำไมถึงไม่มีการเผยแพร่ ออกมา
ตอบแบบง่ายๆ ถ้าแพร่ออกมา อย่างเป็นทางการ บริษัทยาทั่วโลกก็เจ๊งชัยนี่คือความเลวทรามของ มนุษย์ที่เอาเปรียบมนุษย์ด้วยกัน วิธีนี้ถูกค้นพบนานแล้ว แต่ถูกปกปิดเอาไว้ ไม่ให้ผลรายงานนี้ออกมาสู่สาธารณะ


ทำไมต้องโซดา?
ใช้ผสมกับน้ำก็ได้ แต่จะได้ผลช้า แต่ถ้าใช้กับ โซดา มันจะเหมือนๆกับเครื่องยนต์ เวลาติดเทอร์โบ จะได้ผลเร็ว และรุนแรงกว่ามากวิธีรักษามะเร็ง แบบได้ผล
แถมต้นทุนประหยัดแบบสุดๆแบบนี้ ใครมีคนรู้จักเป็นมะเร็งอยู่
ให้เอาไปบอกบุญกันได้
........................................................

มะนาวเป็นผลิตผลที่มหัศจรรย์มากที่สามารถฆ่าเซลมะเร็งได้มากกว่า 1 หมื่นเท่า มากกว่าเคโมเทอราฟี .. ทำไมเราไม่รู้เรื่องนี้เลย เพราะว่าปฏิบัติการห้องแล็บส่วนใหญ่นั้น ไม่ยอมพูดเรื่องนี้เลย และก้อจะทำให้สูญเสียผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ไป เราท่านทั้งหลายสามารถช่วยเพื่อนท่านได้ ในการบอกให้เขาหรือเธอเหล่านั้น ว่าน้ำมะนาวนั้นมีประโยชน์ยิ่งในการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ มีรสชาติที่ดี และไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการฉีดคีโมฯคนมากหลายอาจจะตาย ในขณะที่ความลับที่ป้องกันมะเร็งนี้ได้ถูกเก็บงำเอาไว้ เพื่อไม่ให้ต้องการทำลายผลประโยชน์ นับล้านๆ กับบริษัทยาใหญ่ ๆ ท่านทราบไหมว่าต้นมะนาวนี้ (มะนาวแป้น และ หรือมะนาวทุกชนิด) ท่านจะกินมะนาวเหล่านี้ในวิธีต่างๆก็ได้ เช่นกินเปลือก กินน้ำ หรือคั้น หรือเตรียมเป็นเครื่องดื่มใดๆแล้วแต่ที่เราชอบ และมันทำได้หลายอย่าง โดยเฉพาะถ้าดื่มน้ำมะนาวผสมกับโซดาจะทำให้ผลประโยชน์ของน้ำมะนาวดังกล่าวสูบฉีดเข้าร่างกายได้ดียิ่งขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือมันขจัดซีดหรือก้อนเนื้อร้าย .. ผลไม้ชนิดนี้ พิสูจน์แล้วว่าสามารถต่อต้านมะเร็งได้ อย่างดีเยี่ยม มีคนกล่าวไว้ว่ามันมีผลประโยชน์ สำหรับมะเร็งหลายชนิด อาจกล่าวได้เลยว่ามันสามารถป้องกันการอักเสบของเชื้อแบตทีเรีย และเชื้อราต่างๆ สามารถที่จะต่อต้านพาราไซส์ที่อยู่ข้างใน มันทำให้เลือดที่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไปเข้าสู่ภาวะปกติ มันทำให้คลายเครียด ต่อต้านโรคประสาท โรคฟุ้งซ่านได้ด้วย ข่าวสารเรื่องนี้หน้าสนใจมาก มันมาจากบริษัทยาใหญ่หลายบริษัทในโลก ซึ่งมากกว่า 20 บริษัทได้ทำการทดลองเรื่องนี้ ผลการทดลองเปิดเผยออกมาได้ว่า มะนาวนี้สามารถทำลายเนื้อร้ายที่รุนแรง (มะเร็ง)ได้ถึง 12 ชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งลำไส้เล็ก มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน ส่วนผสมของไซทัสหรือมะนาว มีความสามารถในการทำลายมะเร็งได้มากกว่ายาที่ใช้การทำคีโม ทำให้การเจริญเติบโตของเซลมะเร็งนั้นหยุดอยู่กับที่ และนอกจากนี้มันยังเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจมาก การรักษาด้วยมะนาวนี้ สามารถทำลายต่อต้านมะเร็งได้อย่างรุนแรง แต่ไม่มีผลข้างเคียง


ขอบคุณข้อมูลจาก : http://unyamanee.it4social.net/

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

เม็ดบัวป้องกันมะเร็งตับ


     กินเม็ดบัวป้องกันมะเร็งตับ

แหล่งโปรตีนเช่นเดียวกับการกินถั่วเหลือง ที่ธัญพืชพื้นบ้านชนิดนี้สร้างความฮือฮาให้ชาวโลกคือ มีการวิจัยพบว่าเม็ดบัวมีสารแอนติออกซิแดนต์ในปริมาณสูง ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติหลายอย่าง เช่น ชะลอการเสื่อมของอวัยวะและผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ

เม็ดบัวมีประโยชน์ทางยาสูงมาก แพทย์แผนไทย แนะนำว่า ช่วยบำรุงกำลัง แก้โรคข้อต่างๆ แก้ร้อนใน กระหายน้ำส่วนแพทย์แผนจีนบอกว่า ช่วยบำรุงไต ม้าม หัวใจ และตับซึ่งตรงกับงานวิจัยในต่างประเทศที่ระบุว่า
สารแอนติออกซิแดนต์จะช่วยปกป้องและบำรุงตับ โดยเฉพาะตับที่ต้องขับสารแอฟลาท็อกซิน(Aflatoxin) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งตับออกจากร่างกาย การกินเม็ดบัวจึงสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งได้

เม็ดบัวไทย-จีน ความเหมือนที่แตกต่าง
การเลือกกิน เม็ดบัวส่วนใหญ่ที่เราเห็นทั่วไป จะเป็นสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนซึ่งจะมีเมล็ดขนาดใหญ่ ผ่านการกะเทาะเปลือก ดึงดีบัว(ต้นอ่อนที่ฝังอยู่กลางเมล็ดมีสีเขียวเข้ม)ออก และอบแห้งแล้ว
ส่วนเม็ดบัวไทยนั้นไม่ค่อยพบวางจำหน่ายในท้องตลาด เนื่องจากมีเมล็ดเล็ก จึงไม่เป็นที่นิยม แต่จากผลการวิจัยของ อาจารย์ปริญดา ที่ศึกษาเปรียบเทียบปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์ในเม็ดบัวไทยและจีนพบว่า เม็ดบัวไทยมีปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์สูงกว่าเม็ดบัวจีน 5-6 เท่า

อาจารย์ปริญดาจึงแนะนำว่า ถ้าต้องการให้ร่างกายได้รับสารแอนติออกซิแดนต์ปริมาณสูงควรเลือกกินเม็ดบัวไทยดีกว่า โดยเฉพาะเม็ดบัวไทยสด

วิธีกินคือ ลอกเปลือกออกจากเมล็ด โดยไม่ดึงเยื่อหุ้มเมล็ดและดีบัวออก กินสดๆทั้งเมล็ด จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านมะเร็งซึ่งอยู่บริเวณเยื่อหุ้มเมล็ด และดีบัวในปริมาณสูง

ส่วนชนิดอบแห้งนั้น เรานำมาทำอาหารคาวหวานได้หลากหลาย ที่คุ้นเคยกันดี คือ เม็ดบัวเชื่อมใส่ในน้ำแข็งไส น้ำอาร์ซี เม็ดบัวต้มน้ำตาลทรายแดง ผสมในเต้าฮวย หรือเต้าทึง ข้าวอบใบบัว เป็นต้น

ส่วนเคล็ดลับการเลือกซื้อให้ได้ของสดใหม่ คุณภาพดีมีดังนี้ค่ะ
ชนิดอบแห้ง
1. ควรเลือกเมล็ดที่มีสีเหลืองนวล ถ้ามีสีเหลืองเข้ม แสดงว่าเป็นเม็ดบัวเก่าที่เก็บไว้นานแล้ว เมล็ดไม่แตกหัก และไม่มีฝุ่นละอองปนเปื้อน
2. ขั้วเมล็ดไม่ดำคล้ำ เพราะจะเป็นเมล็ดที่เก็บไว้นานแล้ว
3. ไม่มีกลิ่นสาบหรือเหม็นหื่น

ชนิดฝักสด
เลือกฝักที่มีเมล็ดขนาดใหญ่ สีเขียวอ่อน จะได้เม็ดบัวที่มีเนื้อกรอบ หวานกำลังดี คราวนี้ถ้าเจอฝักบัวสดในตลาดอย่าลืมซื้อติดไม้ติดมือมาคนละสองสามกำนะคะ

เครดิต: นิตยสารชีวจิต
ภาพ: ขอบคุณภาพจาก อินเตอร์เน็ต
*********** **************** **************

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

น้ำกระชาย


ดื่มน้ำกระชายเป็นประจำ...ดีอย่างไร? 
กระชายเหลือง มีประโยชน์มากกว่ากระชายดำ ราคาถูกกว่า แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่ากระชายดำมีประโยชน์มากกว่า

ประโยชน์โดยรวมของกระชายเหลือง
*บำรุงกระดูก(เพราะมีแคลเซียมสูง)
*บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนกลางดีขึ้น
*ปรับสมดุลของฮอร์โมน
*ปรับสมดุลของความดันโลหิต(ความดันโลหิตที่สูงจะลดลง *ความดันโลหิตที่ต่ำจะสูงขึ้น)
*แก้โรคไต ทำให้ไตทำงานดีขึ้น
*ป้องกันไทรอยด์เป็นพิษ
*บำรุงมดลูก
*แก้ปัญหาผมหงอก ผมร่วง
*อาการกระเพราะปัสสาวะเกร็ง(กรณีนี้อาจใช้เม็ดบัวต้มกิน)
*ควบคุมไม่ให้ต่อมลูกหมากโต
*แก้ปัญหาใส้เลื่อน

สรรพคุณที่เด่นๆก็คือ ช่วยปรับสมดุลย์ฮอร์โมนให้ปกติ จึงเหมาะกับคนวัยทองอย่างยิ่งที่มีความผิดปกติเรื่องฮอร์โมน ...ถ้าลองดื่มครั้งแรก ๆ อาจรู้สึกรสชาติแปลกๆ ร้อนวูบ เหงื่อออกตามตัว แต่เมื่อดื่มครั้งสองครั้งร่างกายก็ปรับได้จะชินไปเองคะ.....

สูตรง่ายๆได้ประโยชน์เหมือนกัน เพื่อปรับสมดุล ใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อน กับสมุนไพรฤทธิ์เย็นรวมกัน เป็นดีแน่แท้ 

*สูตร ๑. สูตรนี้เน้น - บำรุงไต - บำรุงกำหนัด ( ทุกย่างสด และใช้ตำในครก เพื่อคุณภาพทุกอย่าง ยังคงอยู่ )
*กระชายสด 2 ขีด *โหรระพา 5-10 บาท *มะนาว * น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ 

*สูตร ๒. ปรับสมดุลในร่างกาย แก้คลื่นไส้อาเจียน - กระชาย 2 ขีด - มะนาว 1 ลูก - น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ -สับปะรด 3 ชิ้น - ใบบัวบก 1 กำ ( 5-10 บาท )

*สูตร ๓.น้ำกระชายต้ม
ส่วนผสม
เหง้ากระชาย 1 ถ้วย
น้ำสะอาด 2 ถ้วย - น้ำตาลทรายแดงตามต้องการ ( ไม่ต้องหวานมาก )

วิธีทำ
1. ล้างเหง้ากระชายด้วยน้ำเปล่าหลายครั้งให้สะอาด ...บุบให้แหลก ใส่น้ำลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือด เอากระชายใส่ลงไปต้มจนเดือดมีกลิ่นหอม หรี่ไฟลง เคียวต่อไปอีก 10 นาที สารที่มีคุณค่าในกระชายออกมา ...แล้วให้เติมน้ำเท่าเดิมอีก ยกลง

2. กรองด้วยผ้าขาวบางเอากากออกไป เติมน้ำตาลทรายแดงและต้มให้เดือดอีก 3 นาที แล้วยกลง จะดื่มแบบร้อนคล่องคอ ได้น้ำกระชายสีเหลืองอ่อน รสเผ็ดปร่าเล็กน้อย มีกลิ่นของกระชายและกลิ่นน้ำตาลทรายแดง หรือจะดื่มแบบเย็น กับน้ำแข็งก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ดีค่ะ

ที่มา ♥ หมอปรียาภา